Living Estate

Living Estate รับทำ Feasibility โครงการอสังหาฯ ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ บ้านจัดสรร คอนโด โรงแรม รีสอร์ท ที่ดินเปล่า

Living Estate

วิเคราะห์อสังหาริมทรัพย์และการตลาดเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ วิเคราะห์การตลาด การเงิน พิจารณาทำเลที่ตั้ง กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ต้นทุนและผลตอบแทน

Living Estate

Real Estate Feasibility Study โดยคำนึงถึง การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง วิเคราะห์ตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ต้นทุน และความเสี่ยง เพื่อพัฒนาโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หลังคาประเภทต่างๆ

หลังคารูปแบบต่างๆ




1.หลังคาแบน (FLAT SLAB) 



                     มีลักษณะแบนราบคล้ายกับเป็นพื้นจึงมักถูกใช้เป็นพื้นดาดฟ้า แต่เนื่องจากรับความร้อนมากและกันแดดกันฝนไม่ค่อยได้ จึงไม่ใคร่เหมาะกับบ้านเราสักเท่าไร แต่ที่เห็นนำมาใช้กันได้ก็เห็นจะเป็นอาคารตึกแถวหรืออาคารพานิชย์สูงหลายชั้น และอาคารที่ไม่เน้นความสวยงามของรูปทรงหลังคา การก่อสร้างหลังคาประเภทนี้คล้ายๆกับการก่อสร้างพื้น แต่มีข้อควรทำคือควรจะผสมน้ำยากันซึมหรือควรมีวัสดุกันซึมปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้บนพื้นที่หลังคาประเภทนี้ขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้ 


2.หลังคาเพิงหมาแหงน (LEAN TO)



                   เป็นหลังคาที่ยกให้อีกด้านสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้ เหมาะสมสำหรับบ้านขนาดเล็ก เนื่องจากก่อสร้างง่าย รวดเร็ว ราคาประหยัด แต่แฟนคนรักบ้านต้องระวังควรให้หลังคามีองศาความลาดเอียงมากพอ ที่จะระบายน้ำฝนออกได้ทันไม่ไหลย้อนซึมกลับเข้ามาได้ โดยอาจพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น ความชันจากขนาดของหลังคา วัสดุมุงหลังคา และระยะซ้อนของหลังคา เป็นต้น ในกรณีที่มีโอกาสหรือความเสี่ยงที่น้ำฝนจะไหลย้อนซึมเข้ามาได้ ก็ควรใช้ความลาดชันมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้รวดเร็วขึ้น 


3.หลังคาแบบผีเสื้อ (BUTTERFLY) 



                   หลังคาชนิดนี้ประกอบด้วยหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังหันด้านที่ต่ำกว่ามาชนกัน ไม่ค่อยเหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกชุกแบบเมืองไทยสักเท่าไร เนื่องจากต้องมีรางน้ำที่รองรับน้ำฝนจากหลังคาทั้ง 2 ด้าน ทำให้รางน้ำมีโอกาศรั่วซึมได้สูง จึงไม่เป็นที่นิยมสร้างกันมากนัก ยกเว้นอาคารที่ต้องการลักษณะเฉพาะพิเศษที่แปลกตาออกไป 

4.หลังคาทรงหน้าจั่ว (GABLE ROOF)


                     เป็นหลังคาที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยเรา มีลักษณะเป็นหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังมาชนกัน มีสันสูงตรงกลาง เป็นหลังคาที่มีความสะดวกในการก่อสร้าง สามารถกันแดดกันฝนได้ดี และสามารถระบายความร้อนใต้หลังคาได้ดีอีกด้วย 


5.หลังคาทรงปั้นหยา (HIP ROOF)



                   เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝนได้ดีทุกๆด้าน มีความโอ่อ่าสง่างาม แต่หลังคาชนิดนี้มีราคาแพง เนื่องจากเปลืองวัสดุมากกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ ตลอดจนต้องใช้ช่างที่มีฝีมือพอสมควรในการก่อสร้าง เพราะมีรายละเอียดเยอะกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ 
6.หลังคาแบบร่วมสมัย (MODERN & CONTEMPORARY) 



                เป็นหลังคาที่มีรูปทรงทันสมัย แตกต่างจาก 5 แบบข้างต้น และใช้วัสดุที่ทันสมัย ก่อให้เกิดรูปทรงแปลกตา แต่ต้องระวังเรื่องความร้อนและการรั่วซึม 



วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การเลือกที่ดินสำหรับปลูกบ้าน

การเลือกที่ดินสำหรับปลูกบ้าน


1. การเข้าถึงที่ดิน

ควรมีถนนหรือซอยทางเข้ากว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร จนถึงหน้าที่ดินของท่าน เพราะความกว้างของถนนหรือซอยที่กล่าวถึง รถบรรทุกสามารถวิ่งสวนทางกันได้ ถ้าได้ถนนหรือซอยที่กว้างกว่า 6 เมตร จะยิ่งเป็นผลดีต่อการเข้าถึงที่ดิน เพราะความเจริญจะขยายตัวได้ง่ายบนถนนที่กว้าง อีกทั้งราคาขายต่อยังคงสูงขึ้นได้ง่ายกว่าอีกด้วย

ถนนหรือซอยหน้าที่ดินนี้ ควรจะเชื่อมกับถนนสายรองหรือถนนสายหลักที่กว้างมากกว่า และควรมีขนส่งมวลชนหลากหลายผ่าน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางของเจ้าของที่ดินเอง



2. แหล่งสถานที่สำคัญ

ในชีวิตประจำวันที่เราดำรงอยู่นั้น สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องพึ่งพาแหล่งสถานที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ คลินิก โรงพยาบาล โรงเรียน ศาสนสถาน ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง และที่ทำการของเขต-เทศบาล หากมีสถานที่สำคัญเหล่านี้อยู่ในบริเวณโดยรอบจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี


3. สภาพแวดล้อม

แน่นอนที่สุดที่เราคงไม่อยากมีบ้านอยู่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรมต่างๆ จนเกินไป จากมลภาวะที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เสียง ฝุ่น อากาศ กลิ่น นอกจากนี้เราคงไม่อยากอยู่ใกล้แหล่งเสื่อมโทรม คลองระบายน้ำเสีย เหล่านี้เป็นต้น ในเรื่องของความปลอดภัยเราควรสังเกตจากบริเวณข้างเคียงว่าสถานีตำรวจและสถานีดับเพลิงห่างไกล หรือ เข้าถึงที่ดินของเราได้โดยสะดวกหรือไม่ หากเกิดเหตุการณ์อันตรายใดๆ



4.ทิศที่ตั้ง

ประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะแดดจากดวงอาทิตย์ ถ้าหลีกเลี่ยงหน้าบ้านหรือหน้าที่ดินที่หันไปทางทิศตะวันตกได้จะเป็นการดีที่สุด เพราะหน้าบ้านของท่านจะโดนแดดส่องเข้าตั้งแต่บ่ายจรดเย็นเลย ทำให้บ้านร้อนตลอดบ่าย พอเรากลับเข้าบ้านตอนเย็น บรรยากาศภายในบ้านจะค่อนข้างอึดอัดและรู้สึกไม่สบายตัว

เรื่องลมเย็นที่มาพร้อมกับฝนในฤดูฝนนั้น จะมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ เราต้องออกแบบบ้านให้มีกันสาดกันฝนยื่นเพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการรั่วซึมบริเวณกรอบบานประตูและหน้าต่าง ส่วนกันสาดที่ป้องกันแสงแดดในด้านทิศเหนือ-ใต้ ควรเป็นกันสาดแนวราบ และในด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ควรเป็นกันสาดแนวตั้ง




5.ขนาดที่ดิน

ผู้อ่านหลายท่านยังไม่แน่ใจว่า ควรจะซื้อที่ดินขนาดเท่าไหร่ดีที่เหมาะสมกับขนาดบ้านของท่าน โดยท่านต้องทราบก่อนว่าตั้งใจจะปลูกบ้าน 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น

กรณีปลูกบ้าน 2 ชั้น ผนังชั้น 2 ทั้ง 4 ด้านของบ้านต้องมีหน้าต่างห่างจากที่ดินทุกด้านไม่น้อยกว่า 2.0 เมตร ดังนั้นหากท่านจะปลูกบ้านกว้าง 8.0 เมตร ลึก 12.0 เมตร เราควรซื้อที่ดินที่มีหน้ากว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร (ที่ว่างข้างซ้าย 2 เมตร + ตัวบ้าน 8 เมตร + ที่ว่างข้างขวา 2 เมตร) และความลึกของที่ดิน ควรลึกไม่น้อยกว่า 16 เมตร (ที่ว่างด้านหน้า 2 เมตร + ตัวบ้าน 12 เมตร + ที่ว่างข้างหลัง 2 เมตร)

กรณีปลูกบ้าน 3 ชั้น ผนังชั้น 3 ทั้ง 4 ด้านของบ้าน ต้องมีหน้าต่าง (หรือขอบนอกของระเบียงชั้น 3) ห่างจากที่ดินข้างเดียวทุกด้านไม่น้อยกว่า 3 เมตร โดยเอาระยะ 3 เมตร ของแต่ละข้างบวกเข้าไปกับตัวบ้านด้วยวิธีเดียวกันกับบ้าน 2 ชั้น กรณีปลูกบ้านขนาด 8 x 12 เมตร ดังนี้

ที่ว่างข้างซ้าย 3 เมตร + ตัวบ้าน 8 เมตร + ที่ว่างข้างขวา 3 เมตร = ที่ดินกว้างน้อยสุด 14 เมตร

ที่ว่างด้านหน้า 3 เมตร + ตัวบ้าน 12 เมตร + ที่ว่างด้านหลัง 3 เมตร = ที่ดินลึกน้อยที่สุด 18 เมตร

ทั้งนี้คิดเฉพาะที่ดินสำหรับตัวบ้านเท่านั้น ยังไม่ได้รวมถึงบริเวณที่ว่าง สวนไม้ ที่จอดรถ และปัจจัยอื่นเช่น ความกว้างถนนหน้าที่ดิน, ที่ดินติดคลอง







ที่มา : http://www.alive-house.com

                                                                                                                                                        https://faverhome.com/interior-decor/