ข่าวอสังหาฯ

ข่าวอสังหา - ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/property เตือนคุณล่วงหน้า ทุกคำ ทุกข่าว Fri, 16 Aug 2024 01:40:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2019/11/cropped-favicon-32x32.jpg ข่าวอสังหา - ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/property 32 32 นิวลุก สาทรสแควร์ FPT ยกระดับออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง https://www.prachachat.net/property/news-1628810 https://www.prachachat.net/property/news-1628810#respond Fri, 16 Aug 2024 01:35:50 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628810 ไตรมาส 3/67 ได้เวลาอัพเดตอาณาจักรธุรกิจค่าย FPT ในฐานะผ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: นิวลุก สาทรสแควร์ FPT ยกระดับออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง

]]> ไตรมาส 3/67 ได้เวลาอัพเดตอาณาจักรธุรกิจค่าย FPT

ในฐานะผู้นำตลาดอาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่พาณิชยกรรม 2.4 แสนตารางเมตร ล่าสุดเพิ่งประสบความสำเร็จในการลงทุนปรับโฉมอาคารสำนักงานให้เช่า หรือออฟฟิศบิลดิ้ง 2 แห่งแบรนด์ดังย่านใจกลางเมือง “สาทรสแควร์-ปาร์คเวนเชอร์”

มาดใหม่ต้องบอกว่าไฉไลกว่าเดิม เพราะมาพร้อมกับติดอาวุธการแข่งขันยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับทุกสนามรบ เนื่องจากเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าศึกธุรกิจออฟฟิศบิลดิ้ง มีซัพพลายใหม่รอแจ้งเกิดอีกถึง 1.6 ล้านตารางเมตรภายใน 3 ปีหน้า หัวใจสำคัญของการแข่งขันจึงเป็นเรื่องการส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร

AEI-ยกระดับคุณภาพอาคาร

โดย “วิทวัส คุตตะเทพ” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ระบุว่า ทิศทางตลาดออฟฟิศบิลดิ้งมีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นต่อเนื่อง จากเหตุผลมีซัพพลายเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีกมากถึง 1.6 ล้านตารางเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า

วิทวัส คุตตะเทพ สาทรสแควร์
วิทวัส คุตตะเทพ

ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่ออฟฟิศในแต่ละปีขยายตัวไม่มากนัก รวมถึงลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมองหาอาคารที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตพนักงานและผู้ใช้อาคารอีกด้วย

FPT จึงเร่งดำเนินการโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative : AEI) ของสาทรสแควร์ และปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ “GVREIT-ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์” ตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบันโครงการสาทรสแควร์ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเปิดเผยโฉมใหม่แล้ว ส่วนปาร์คเวนเชอร์ตามมาติด ๆ มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 นี้

อัตราเช่าเหนือตลาดอยู่ที่ 90%

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ ไตรมาส 1/67 FPT มีพอร์ตทรัพย์สินหลัก ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานเกรด A และพื้นที่พาณิชยกรรมรวม 2.5 แสนตารางเมตร ผ่านโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งรีเทล โรงแรม และออฟฟิศบิลดิ้ง 5 โครงการหลัก

ในจำนวนนี้ พอร์ตโรงแรมมีจำนวนห้องพัก 920 คีย์ และห้องประชุมที่สามารถรองรับได้ 3,000 ที่นั่ง

น่าสนใจว่าตลาดออฟฟิศในย่านศูนย์กลางธุรกิจหรือ CBD-Central Business District ของกรุงเทพฯ ในภาพรวมมีซัพพลายพื้นที่ 9.61 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้เป็นซัพพลายเกิดใหม่จำนวน 96,302 ตารางเมตร มีอัตราการเช่าหรือ Occupancy Rate เฉลี่ยที่ 82.2%

โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องถือว่าทรงตัวเพราะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ลดลงเล็กน้อยที่ 1.3% เทียบกับไตรมาส 4/66 และลดลง -2.3% เทียบกับไตรมาส 1/66 สามารถแบ่งได้ 3 เซ็กเมนต์ คือ ทำเลเกรด A+ ค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,125 บาท/ตารางเมตร/เดือน, ทำเลเกรด A อยู่ที่ 915 บาท/ตารางเมตร/เดือน และทำเลเกรด B อยู่ที่ 721 บาท/ตารางเมตร/เดือน

สถิติโลกต้องจำกลุ่ม FPT สามารถทำยอดอัตราเช่าเฉลี่ยสูงกว่าตลาดรวมอยู่ที่ 90%

From Good to Great

โฟกัสออฟฟิศบิลดิ้งเกรด A อย่าง “สาทรสแควร์” FPT ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม และสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางด้านความยั่งยืน ตกผลึกออกมาเป็นแนวคิด From Good to Great ในการยกระดับนวัตกรรมการให้บริการและคุณภาพอาคาร

ผ่านกลยุทธ์ 5 มิติ สำหรับ “AEI-Asset Enhancement Initiative” ในการรักษามาตรฐานอาคารเกรด A เพื่อสามารถแข่งขันท่ามกลางอาคารสำนักงานเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ดังนี้

1.“Smart Technology – ยกระดับความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก” ด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ ระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อ สามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR Code ผ่านแอปมือถือ

เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถ ที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ (License Plate Recognition) ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ (e-Payment) พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

นอกจากนี้ อาคารยังรองรับบริการพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Platinum ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล (Digital Connectivity) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดจาก WiredScore

ล่ารางวัล-การันตีความยั่งยืน

2.“Sustainability Excellence – ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน” เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร

โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร “BMS-Building Management System” มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศวกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร มี Motion Sensor จับความเคลื่อนไหวสำหรับเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติในพื้นที่ใช้งานน้อย

และปรับกระบวนการบริหารอาคารโดยจัดการทรัพยากรตามแนวทางอนุรักษ์พลังงาน สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทั่วโลก ซึ่งตอกย้ำจุดเด่นของสาทรสแควร์ตามที่ได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานมาตั้งแต่เปิดใช้อาคาร

ทั้งมาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED ระดับ Gold 2013 (2556) รางวัล Thailand Energy Awards 2014 (2557) และ ASEAN Energy Awards 2014 รวมถึงรางวัล MEA Energy Awards 2019 (2562)

ออฟฟิศน่าอยู่-สถาปัตย์โดดเด่น

3.“Superb Well-being – ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร” โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร “IAQ-Indoor Air Quality” แสดงสภาพอากาศภายในอาคารเทียบกับอากาศภายนอกอาคาร เพื่อเสริมความมั่นใจ

รวมถึงใส่ใจในคุณภาพการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ของพนักงานออฟฟิศ โดยสาทรสแควร์มีพื้นที่สีเขียวทั้งต้นไม้และน้ำรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหารนานาชาติ คลินิกสุขภาพความงาม ที่พบปะสังสรรค์หรือแฮงเอาต์ สำหรับสานสัมพันธ์นอกเวลางาน เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น

4.“Support Tenant Centricity – สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร” ด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจุดเด่นด้านการบริหารอาคารของ FPT ที่ดำเนินการมาตลอด คือ การจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่ในสาทรสแควร์สำหรับทุกคน

และ 5.“Spectacular Design – สวยงามและโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม” ดีไซน์แบบคิดละเอียดทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์

ตอกย้ำโมเดลธุรกิจ “REaaS”

ไฮไลต์สร้างความประทับใจด้านสถาปัตยกรรมภายใน อยู่ที่การปรับโฉมล็อบบี้ออฟฟิศ ผู้ออกแบบได้นำคำว่า “สแควร์” หรือ “รูปทรงสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาคารมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผสมผสานผนังใหม่สีเงินเมทัลลิกที่สะท้อนความทันสมัยและมีพลัง เพิ่มเติมด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่

สร้าง “สีสันมิติใหม่-Neovibrant” ที่เป็นตัวตนจุดเด่นสำคัญของอาคาร เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความสดใสและแรงบันดาลใจ เติมพลังงานและความกระฉับกระเฉงให้กับผู้ใช้อาคาร สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neovibrant Business Complex

“เราเชื่อมั่นว่าการยกระดับคุณภาพสาทรสแควร์ครั้งนี้ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำ และรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม”

หมุดย้ำอยู่ที่ FPT มุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ REaaS-Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Community และ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ หรือ Inspiring Experiences, Creating Places for Good

อ่านข่าวต้นฉบับ: นิวลุก สาทรสแควร์ FPT ยกระดับออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628810/feed 0 “Via 61” by แสนสิริ Hidden Gem โซนทองหล่อ-เอกมัย https://www.prachachat.net/property/news-1628838 https://www.prachachat.net/property/news-1628838#respond Fri, 16 Aug 2024 00:43:02 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628838 ไดนามิกตลอด ๆ สำหรับยักษ์อสังหาริมทรัพย์ ค่ายแสนสิริ เป […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: “Via 61” by แสนสิริ Hidden Gem โซนทองหล่อ-เอกมัย

]]>
ไดนามิกตลอด ๆ สำหรับยักษ์อสังหาริมทรัพย์ ค่ายแสนสิริ

เปิดประเด็นตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/67 แสนสิริเปิดภาพ “Via 61” (เวีย 61) โครงการลักเซอรี่คอนโดมิเนียม บนทำเลใจกลางย่านทองหล่อ-เอกมัย จุดเน้นอยู่ที่เป็นโครงการที่อยู่บนสุดยอดทำเล Rare Item

นำเสนอแบบกระชากใจ FC เพราะมีห้องชุด Penthouse เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น พร้อมส่งมอบประสบการณ์พักอาศัยบนแลนด์มาร์กแห่งสีสัน ผสานชีวิตเมืองให้เข้ากับการพักผ่อนอย่างมีระดับ

ทั้งนี้ ในการเปิดภาพครั้งแรกแบรนด์เฉพาะกิจ “Via 61” แสนสิริ เปิดไตรมาส 3 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้ารุกตลาดย้ำผู้นำอสังหาฯ ลักเซอรี่และซูเปอร์ลักเซอรี่ระดับแถวหน้าของประเทศ

ในการเผยโฉมภาพ “Via 61-เวีย 61” นั้น ทีมดีไซเนอร์นำเสนอลักเซอรี่คอนโดฯแบบ Low-Rise โครงการมาสเตอร์พีซล่าสุด กับสุดยอดทำเล Rare Item บนที่ดินหายากใจกลางย่านทองหล่อ-เอกมัย ที่ไม่ใช่ใครก็เป็นเจ้าของได้

เสน่ห์ทองหล่อ-เอกมัย มีบรรยากาศอยู่ท่ามกลางสังคมคุณภาพการอยู่อาศัยระดับนานาชาติ และลักเซอรี่ไลฟ์สไตล์ ชูไฮไลต์อยู่ที่ “Hidden Gem” สุดไพรเวต บนถนนสุขุมวิท 61 เพียง 61 ยูนิต และ Penthouse เพียง 2 ยูนิต

ผสานความเป็นชีวิตชีวาใจกลางเมืองให้เข้ากับการพักผ่อนอย่างละเมียดละไม ลูกค้าเศรษฐีกระเป๋าหนักเตรียมควักเงินให้ไว สนนระดับราคา 10.9-45 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาท

สำหรับรายละเอียด Via 61 ลักเซอรี่คอนโดมิเนียม เป็นอาคารชุด Low-Rise ใจกลางย่านสุขุมวิท สูง 8 ชั้น (เชื่อมไร้รอยต่อระหว่างเอกมัย-ทองหล่อ) ออกแบบในคอนเซ็ปต์ “Unveil Your Living Serenity” หนึ่งใน Aesthetic Collection จากแสนสิริ

ตั้งอยู่บนทำเลเอกมัย-สุขุมวิท 61 ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 50-187 ตารางเมตร มีห้องชุดให้เลือกตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน ไปจนถึง Penthouse กับความเป็นส่วนตัวเพียง 61 ยูนิต เดินทางสะดวกเพียง 1 นาที จาก BTS เอกมัย และ 3 นาทีจากทองหล่อ

ตอบทุกโจทย์ความต้องการ อยู่ใกล้แหล่งศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำ และ Night Life ครบครัน ทั้งคอมมิวนิตี้มอลล์ ร้านอาหารระดับ Michelin อาทิ ย่านเอกมัย Gateway Ekamai, Donki Mall และย่านสุขุมวิท Em District ห้างสรรพสินค้าระดับไอคอนิกแลนด์มาร์กของคนเมือง EmQuartier, EmSphere และ Emporium

ตลอดจนรายล้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติชั้นนำมากมาย อาทิ St.Andrews International School Bangkok, Trinity International School และ Ekamai International School

แสนสิริ 40 ปี ในฐานะแบรนด์ Taste-Maker มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจในทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยอย่างมีรสนิยม ตลอดจนการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับ

โดยแสนสิริดำรงจุดมุ่งหมายในการเปิดตัวแบรนด์ Via 61 ถือเป็นลักเซอรี่คอนโดมิเนียมโครงการแรกแห่งปีของแสนสิริที่น่าจับตามองในกลุ่มตลาดลักเซอรี่ที่เป็นตัวจุดประกายในไตรมาส 3 นี้

อ่านข่าวต้นฉบับ: “Via 61” by แสนสิริ Hidden Gem โซนทองหล่อ-เอกมัย

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628838/feed 0
อนันดาโชว์ Q2/67 ส่งสัญญาณบวกกำไร 151 ล้าน โต 283 % ขาย 3,665 ล้าน โอน 2,308 ล้าน https://www.prachachat.net/property/news-1630697 https://www.prachachat.net/property/news-1630697#respond Thu, 15 Aug 2024 02:50:29 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1630697 ANAN-บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติด […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: อนันดาโชว์ Q2/67 ส่งสัญญาณบวกกำไร 151 ล้าน โต 283 % ขาย 3,665 ล้าน โอน 2,308 ล้าน

]]>
ANAN-บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิกว่า 151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 283 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 3,665 ล้านบาท ยอดโอน 2,308 ล้านบาท ครึ่งปีหลังมีสัญญาณบวก มั่นใจทั้งปีทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

วันที่ 15 สิงหาคม 2567 นางสาวลิมลี่ ทิพพงษ์ประภาส ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า บริษัทยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่สามารถเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าคนเมืองได้เป็นอย่างดี

โดยได้มีการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ส่งผลให้สามารถสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยผลดำเนินงานในไตรมาสสอง ปี 2567 เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น โดยสามารถสร้างกำไรสุทธิกว่า 151 ล้านบาท เติบโตขึ้น 283% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ได้มีการประกาศปิดการขาย 100% (Sold Out) โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการ 13,904 ล้านบาท ได้แก่ โครงการไอดีโอ จรัญฯ 70 ริเวอร์วิว โครงการคิว ประสานมิตร โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ และโครงการไอดีโอ จุฬา สามย่าน

ด้วยจุดเด่นของโครงการและทำเลที่ตั้ง รวมถึงการออกแบบโครงการที่โดดเด่น ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สมดุลให้แก่คนเมือง และที่สำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ที่มีคุณภาพของอนันดาฯ จึงทำให้ทั้ง 4 โครงการประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ บริษัทยืนยันศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ยังคงวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการตอบรับความต้องการลูกค้าในทุกเซกเมนต์ โดยมีโครงการพร้อมอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด รองรับการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

โดยมีสินค้าพร้อมโอน ณ ไตรมาส 2/67 รวมมูลค่า 28,557 ล้านบาท และโครงการพร้อมส่งมอบในปี 2568 มูลค่าโครงการ 11,929 ล้านบาท รวมทั้งหมดมูลค่า 40,486 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ พร้อมให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนด้วยการวางแผนธุรกิจเพื่อสร้างยอดขาย และให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและบริหารจัดการกระแสเงินสด นำไปสู่การสร้างรากฐานการเติบโตและยั่งยืนต่อไป”

อ่านข่าวต้นฉบับ: อนันดาโชว์ Q2/67 ส่งสัญญาณบวกกำไร 151 ล้าน โต 283 % ขาย 3,665 ล้าน โอน 2,308 ล้าน

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1630697/feed 0
แสนสิริโชว์ครึ่งปีแรก รายได้ร่วม 2 หมื่นล้าน กำไรโตพุ่ง 2,700 ล้าน ยืนหนึ่งหุ้นปันผลสูง https://www.prachachat.net/property/news-1630684 https://www.prachachat.net/property/news-1630684#respond Thu, 15 Aug 2024 02:34:35 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1630684 แสนสิริ รักษาระดับการเติบโต เผย 6 เดือนแรกทำยอดขาย 25,0 […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: แสนสิริโชว์ครึ่งปีแรก รายได้ร่วม 2 หมื่นล้าน กำไรโตพุ่ง 2,700 ล้าน ยืนหนึ่งหุ้นปันผลสูง

]]>
แสนสิริ รักษาระดับการเติบโต เผย 6 เดือนแรกทำยอดขาย 25,000 ล้านบาท รายได้ร่วม 20,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท จากผลงาน Sold Out 19 โครงการ มูลค่า 15,200 ล้านบาท ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.07 บาทต่อหุ้น รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท

วันที่ 15 สิงหาคม 2567 นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก

โดยสามารถสร้างยอดขายรวม 25,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้จำนวน 52,000 ล้านบาท

วิชาญ วิริยะภูษิต
วิชาญ วิริยะภูษิต

ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 43,000 บาท เติบโต 8% เทียบกับครึ่งปีแรก 2566 มีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของ ปี 2567 (ไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท, ไตรมาส 2/67 กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท)

อนึ่ง หากพิจารณาด้านกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (Core Profit) พบว่าเติบโตขึ้น 5% (เทียบ Year on Year)

จากกลยุทธ์ในการรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้นจากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้แสนสิริ ติดอันดับ 1 ในหุ้นกลุ่ม SETHD ที่จ่ายปันผลสูง (ข้อมูล ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 11.38%)

โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2567 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2567

โดยการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการที่ดีของแสนสิริในอนาคต

ทั้งนี้ ความสำเร็จในครึ่งปีแรก 2567 มาจากบริษัทสามารถ Sold Out รวม 19 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท อาทิ BuGaan (บูก้าน) พระราม 9-เหม่งจ๋าย, เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี, เอ็กซ์ที เอกมัย

รวมถึง Business Model ใหม่ กับ Exclusive Residence ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Niche Market ด้วยโครงการขนาดเล็ก ยูนิตน้อย บน Prime Location ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย Sold Out
อย่างรวดเร็ว เช่น ELSE (เอลซ์) กรุงเทพกรีฑา

และ PYNN (พินน์) เริ่มโครงการแรกที่ PYNN ปรีดี 20 มียอดขายแล้วถึง 80% จ่อคิว Sold out พร้อมส่งต่อความสำเร็จให้โครงการล่าสุด PYNN ศูนย์วิจัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก

ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่ใน Strategic Location ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ อณาสิริ พายัพ เปิดตัวเป็นทางการเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขาย 50% ของโครงการ และเศรษฐสิริ รวมโชค เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถปิดการขายเฟสแรกหมด 100%

รวมถึง mekin HAUS (เมคิน เฮาส์) แบรนด์ HAUS โครงการแรกในเชียงใหม่และต่างจังหวัด พร้อมไฮไลต์คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกในเชียงใหม่ ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน

รวมถึงพอร์ตบ้านเดี่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง จากรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรีและซูเปอร์ลักเซอรี ทั้งการโอนต่อเนื่องของโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และนาราสิริ พหล – วัชรพล ที่มียอดขายที่ดี

การต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยว “เศรษฐสิริ” ทำให้ต้องเปิดจองเฟสใหม่ 4 ทำเลฮอต ได้แก่ ราชพฤกษ์ – รามอินทรา – บางนา – ดอนเมือง

ทางด้านคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม อาทิ เอ็กซ์ที พญาไท และ เดอะ เบส ไฮท์ เชียงใหม่ ที่กลุ่มลูกค้าเชียงใหม่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริตลอดมา รวมทั้งการจัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาดที่เข้มข้น จากกลยุทธ์การรักษายอดขายที่ดี

ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Joint Venture ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการโอนคอนโดมิเนียมเดอะ ไลน์ ไวบ์ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง แสนสิริ และ แรบบิท โฮลดิ้งส์ ในกลุ่มบีทีเอส คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่มียอดขายแล้วกว่า 70% สุดยอดทำเลศักยภาพตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว

สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไร และรักษาระดับการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา

สำหรับแผนลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริ มีแผนเปิดตัว 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท ไฮไลต์แนวราบ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ คือ “ณริณสิริ” (Narinsiri) บ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ระดับพรีเมียม (ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา และณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา) ราคาเริ่มต้นที่ 40-80 ล้านบาท พร้อมเปิดชมปลายปีนี้

ถัดมาคือ “เมเบิล” (Mabel) ทำเลแรกเมเบิล บางนา 26 ใกล้ทางด่วน นำเสนอบรรยากาศความเป็นส่วนตัวเพียง 105 ยูนิต ราคา 6–8 ล้านบาท

ทางด้านคอนโดมิเนียมเปิดตัว Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ดีคอนโด เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงาน มีดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมสูง

และไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวโครงการบนสุดยอดทำเลศักยภาพในย่าน CBD บนทำเลสุขุมวิท ได้แก่ เวีย 61 ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ Aesthetic Collection อีกหนึ่งโครงการใหม่จากซีรีส์ One of a Kind Project โดดเด่นบนทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 36

นอกจากนี้ ไฮไลต์ในช่วงสิ้นปี แสนสิริเตรียมเปิดโปรเจกต์ใหญ่ ปักธงภูเก็ต ต้อนรับ High Season ในช่วงไฮซีซันตอนสิ้นปี ในย่านบางเทา-เชิงทะเล ซึ่งเปรียบเสมือนย่านทองหล่อในภูเก็ตอีกด้วย

“จากภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากกว่าครึ่งปีแรก แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 127,000 ล้านบาท ส่งผลให้การดำเนินงานทั้งในด้านยอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้””

นายวิชาญกล่าวตอนท้ายว่า แสนสิริขอบคุณลูกค้าทุกท่านและประชาชน เชื่อมั่นแสนสิริ แบรนด์อันดับ 1 กลุ่มอสังหาฯ ซึ่งผลสำเร็จในครึ่งปีแรก ส่วนสำคัญมาจาก Branding ที่แข็งแกร่ง ที่ผู้บริโภคให้ความมั่นใจสูงสุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย

กับรางวัลใหญ่แห่งปี Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศในทุก เซ็กเมนต์(บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม) ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษามาตรฐานการครีเอทผลงานบนโซเชียลมีเดียที่โดดเด่น รักษาตำแหน่ง No. 1 Thailand Socia Awards คะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีไว้ได้อีกด้วย

อ่านข่าวต้นฉบับ: แสนสิริโชว์ครึ่งปีแรก รายได้ร่วม 2 หมื่นล้าน กำไรโตพุ่ง 2,700 ล้าน ยืนหนึ่งหุ้นปันผลสูง

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1630684/feed 0
AP อู้ฟู่หนักมาก ครึ่งปีแรก 2567 คว้ารายได้ 2.1 หมื่นล้าน กำไรท่วม 2,277 ล้าน https://www.prachachat.net/property/news-1629894 https://www.prachachat.net/property/news-1629894#respond Wed, 14 Aug 2024 04:00:42 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1629894 AP-เอพี ไทยแลนด์ บริษัทอสังหาฯอันดับ 1 ประกาศรายได้ครึ่ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: AP อู้ฟู่หนักมาก ครึ่งปีแรก 2567 คว้ารายได้ 2.1 หมื่นล้าน กำไรท่วม 2,277 ล้าน

]]>
AP-เอพี ไทยแลนด์ บริษัทอสังหาฯอันดับ 1 ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก รวม 21,130 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,277 ล้านบาท เน้นนโยบายเข้มงวดวินัยทางการเงิน รักษาสัดส่วนหนี้ต่อทุนไม่เกิน 0.83 เท่า มั่นใจมีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 25 โครงการใหม่ มูลค่า 27,440 ล้านบาท

วันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้คำมั่นสัญญา “ชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้”

เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) มีรายได้รวมจากสินค้าบ้านและคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ 21,130 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,277 ล้านบาท

โดยเฉพาะไตรมาส 2/67 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,561 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิ 1,268 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 25.8% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ เป็นผลสำเร็จจากรายได้จากการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะพอร์ตคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่เติบโตมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากจุดเด่นด้านคุณภาพ ดีไซน์โดดเด่นเหนือตลาด แพ็กเกจราคาที่จับต้องได้จริง ทำให้คอนโดฯพร้อมอยู่เครือเอพี สามารถครองใจลูกค้า และได้รับการตอบรับโอนกรรมสิทธิ์ตามแผนที่วางไว้ในทุกเซ็กเมนต์

โดยโครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างโดดเด่น ได้แก่ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี, ASPIRE รัชโยธิน และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม เป็นต้น

ในขณะที่พอร์ตสินค้าแนวราบ คีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท ผ่านพอร์ตสินค้าบ้านแฝด ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ที่เอพีครองความเป็นผู้นำตลาดจากการครองส่วนแบ่งตลาดมากสุดเป็นอันดับ 1 ที่ยาวนานต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการบุกขยายพอร์ตสินค้าในกลุ่มบ้านแฝดให้มากยิ่งขึ้น ด้วยแบรนด์บ้านกลางเมือง THE EDITION บ้านแฝด 3 ชั้น และ GRANDE PLENO บ้านแฝด 2 ชั้น รวมไปถึงการค้นหาที่ดิน Rare Location สุดไพรมในเมืองเพื่อลุยเปิดตัว บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ลักเซอรี่แบรนด์ของกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝดของเอพี ที่ได้รับการตอบรับที่เหนือความคาดหมายจากทุกทำเล

โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเอพีที่เปิดตัวใหม่ ทำยอดขายดีในทุกเซ็กเมนต์ และ 3 โครงการที่ประสบความสำเร็จโกยยอดขายช่วงพรีเซลได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา, PLENO สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ 60 และ PLENO ดอนเมือง

ในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป บริษัทเตรียมเปิดตัว 25 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 27,440 ล้านบาท โดยเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 8,190 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 11,350 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท

ส่งผลให้ในครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัท จะมีโครงการพร้อมขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากกว่า 202 โครงการ มูลค่ากว่า 151,411 ล้านบาท

นายวิทการกล่าวว่า เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจัดแคมเปญโปรโมชั่นเสนอทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหาคอนโดฯ ในเครือ AP ตั้งแต่วันนี้-15 ก.ย.นี้ พบกับคอนโดฯแบรนด์ LIFE และ ASPIRE ใน 12 ทำเลที่ดีที่สุด จัดแคมเปญพิเศษ ‘วิวสุดจะ CRAZY’ วิวไหนก็ราคาเดียว 1.79-5.49 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 1.5 ล้านบาท ผ่อนต่ำล้านละ 2,500 บาท/เดือน ฟรี!! เครื่องใช้ไฟฟ้า และฟรี!! เฟอร์นิเจอร์ยกห้อง

อ่านข่าวต้นฉบับ: AP อู้ฟู่หนักมาก ครึ่งปีแรก 2567 คว้ารายได้ 2.1 หมื่นล้าน กำไรท่วม 2,277 ล้าน

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1629894/feed 0
กูรูอสังหาฯ ห่วงวิกฤตลามจากฐานรากสู่บน แนะ ธปท.ลดดอกเบี้ยแก้หนี้ดีมานด์ซบ https://www.prachachat.net/property/news-1629701 https://www.prachachat.net/property/news-1629701#respond Tue, 13 Aug 2024 16:26:07 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1629701 กูรูอสังหาฯ ห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือนลุกลาม ฉุดธุรกิจอสังห […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: กูรูอสังหาฯ ห่วงวิกฤตลามจากฐานรากสู่บน แนะ ธปท.ลดดอกเบี้ยแก้หนี้ดีมานด์ซบ

]]>
กูรูอสังหาฯ ห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือนลุกลาม ฉุดธุรกิจอสังหาฯล้มทั้งระบบ หวั่นวิกฤตลามจากระดับล่างสะเทือนถึงระดับบน วอนรัฐปรับโครงสร้างการเงินทั้งระบบให้ดีมานด์เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ นายกอสังหาฯ ย้ำ เป็นวิกฤตหนักกว่าโควิด-19 ด้านบิ๊กเสนาฯ เริ่มทบทวนโครงการ เก็บทำเลทอง ไม่แข่งสงครามราคา

วันที่ 13 สิงหาคม 2567 ในงานสัมมนา “ดอกเบี้ยลด.. ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ-อสังหาฯ-ตลาดทุน … ? ที่จัดขึ้น โดยฟูลแม็กซ์ ณ ห้องประชุม ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า สามย่านมิตรทาวน์ มีผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมบรรยายและแสดงความเห็นมากมาย ประกอบด้วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์, คุณพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย

คุณอิสระ บุญยัง ประธานกรรมการ สมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร, ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) “SENA” และคุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานชมรมวาณิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (IB CLUB)

อสังหาฯสภาวะคนขาดไม่มั่นใจ โอกาสเข้าถึงสินเชื่อต่ำมาตรการเข้ม

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทำให้เกิดการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน 11% อาจจะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้คนเดินเข้าไปดูบ้านมากขึ้นและจองมากขึ้น แต่สุดท้ายเมื่อซื้อแล้วก็โอนไม่ผ่าน ไม่เกิดการจอง สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญสะท้อนไปถึงความมั่นใจในการหารายได้ จึงไม่ต้องการเพิ่มหนี้ในระยะยาว นั่นจึงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่เมื่อกำลังซื้อหายไปในตลาด ก็ลดการขยายโครงการ

“สิ่งที่สำคัญต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่การเพิ่มรายได้ จึงสามารถเพิ่มกำลังซื้อ ภาคอสังหาฯ ใน เหมือนผืนดินที่ขาดน้ำ จากที่เคยเป็นแหล่งชลประทาน ปล่อยน้ำ ไปตามชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ตอนนี้ ต้องการน้ำ มาเยียวยา เพราะใบไม้ร่วงหมดแล้ว ประชาชนคนไทยขาดน้ำ ขาดเงินในการไปทำอะไรหลายอย่าง สินเชื่อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 7 หมื่นล้าน หมดภายในเวลารวดเร็ว รวมถึง สินเชื่อแฮปปี้ โฮม 2 หมื่นล้านบาท สะท้อนได้ว่า ตลาดต้องการกำลังซื้อ” ดร.วิชัย กล่าว

ลดดอกเบี้ย ลดการติดลบในตลาดอสังหาฯ

อัตราดอกเบี้ย ในปัจจุบันมีอัตราสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างต่ำ บางสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อัตราดอกเบี้ย ต่ำมากกว่า 50% ของ MRR เฉลี่ยที่อยู่อาศัย 3 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 3.5% และหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ทุก 0.25% จะเพิ่มมูลค่าสินเชื่อใหม่ได้ 4,400 ล้านบาท เพิ่มหน่วยการโอนได้ 5,000 หน่วย และมีมูลค่าการโอน 35,000 ล้านบาท

ดังนั้น หากมีมาตรการที่ 6 ธนาคารพาณิชย์ในชาติ ลดอัตราดอกเบี้ย 2.5% คาดว่าจะส่งผลทำให้ยอดโอนเพิ่มขึ้น 372,877 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ อยู่ที่ 1,078,080 ล้านบาท หรือขยายตัว 2.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 678,151 ล้านบาท หรือติดลบเหลือ 0.03% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

สถานการณ์ปัจจุบัน ดีมานด์ยังต้องการซื้อบ้าน แต่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ เพราะมีเกณฑ์ต่าง ๆ เข้มข้น ทำให้กำลังซื้อหดตัว นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ตลาดหดตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จากคนฐานล่างไปสู่ธุรกิจระดับบน จากที่สินเชื่อในกลุ่มคอนโดฯหดตัว ลามไปสู่บ้านเดี่ยว แตกต่างจากวิกฤตในปี 2540 ที่กระทบจากบนลงล่าง เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจะส่งผลไปสู่กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ซื้อเพื่อการลงทุนและเป็นหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วน 20-30% ในตลาดหรือประมาณ 2-3 แสนล้านบาทในตลาด ที่หายไป เพราะมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ส่งผลทำให้ผลตอบแทนในการลงทุนลดลง จึงหันไปลงทุนในภาคอื่นแทนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการเกิดขึ้นใหม่ของโครงการเมื่อตลาดลงทุนหายไปจึงมองไปที่การพัฒนาโครงการตอบโจทย์ด้านอื่น

หวั่นลามวิกฤตจากล่างสู่บน วอนลดดอกเบี้ย พร้อมปรับโครงสร้างแหล่งเงินทั้งระบบ

สมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงนี้แตกต่างจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มาก โดยในช่วงปี 2540 ปัญหาจะเริ่มต้นจากส่วนบนของเศรษฐกิจในส่วนของผู้ประกอบการ เจ้าหนี้ล้มลงก่อนลูกหนี้ ดังนั้นจึงมีข้อมูลพื้นฐานของผู้มีปัญหาครบถ้วย และเข้าไปแก้ปัญหาได้ถูกทาง และผู้ที่ผ่านช่วยต้มยำกุ้งมาได้ก็มีภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มอสังหาฯ ธนาคาร สามารถประคองธุรกิจจนผ่านหลายวิกฤตมาได้แทบทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ไม่ประสบปัญหาช่วงต้มยำกุ้งกลับเริ่มสะสมปัญหาพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เอสเอ็มอี และถาคประชาชน ที่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนหนึ่งยังเป็นหนี้นอกระบบ ทำให้ภาครัฐมีข้อมูลของผู้ที่ประสบปัญหาหนี้สินมีน้อย จึงทำให้หลังจากช่วงโควิด-19 การฟื้นตัวของประเทศไทยจะเป็นแบบ K เชฟ คือ ผู้ที่ได้รับผลประทบช่วงโควิด-19 น้อย และผู้ที่มีฐานะดีก็จะฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนพวกเอสเอ็มอี และรายย่อยก็ค่อน ๆ ลดลง จนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีภาวะสงครามเข้ามาซ้ำเติมอีก จึงทำให้ฟื้นตัวได้ยากขึ้น

แนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหากดอกเบี้ยสูงจะมีค่าใช้จ่ายในการโอนสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2567 ธนาคารของรัฐได้เข้ามานำร่องลดดอกเบี้ยในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเอสเอ็มอี ได้ผลสูงมาก วงเงินสินเชื่อในแต่ละครั้งก็หมดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มาตรการลดดอกเบี้ยสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วมากกว่าแนวทางอื่น

ดังนั้นภาครัฐจึงต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ผ่านกลไกธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ให้มีการปล่อยสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ให้ภาคธุรกิจ ภาคประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ลดลดภาระหนี้ ให้กับลูกค้ารายย่อย เข้าถึงแหล่งทุน และแก้ไขปัญหาหนี้

“การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่กว่าจะเป็นผลเป็นรูปธรรมต้องใช้เวลานานมาก ผู้ประกอบการอาจรอไม่ได้ แต่การลดดอกเบี้ยสามารถทำได้ทันทีและเห็นผลอย่างรวดเร็ว เช่น การลดดอกเบี้ยและค่าโอนในกลุ่มผู้ซื้อบ้านมือ 2 ส่งผลให้ยอดขายบ้านมือ 2 เพิ่มขึ้นเร็วมากจนมีสัดส่วนกว่า 55% รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้ในระยะยาว” นายอิสระ กล่าว

ปี’ 67 วิกฤตอสังหาฯ หนักกว่าโควิด ทนปรับตัวทำบ้านขายฝาก

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งอยู่ในช่วงโควิด-19 กลุ่มอสังหาฯ แทบจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวขายดีมาก เพราะผู้คนหลบออกจากคอนโดฯที่แออันมาสู่บ้านเดี่ยว พอมาถึงในปี 2564-2565 กลุ่มอสังหาฯทะยานขึ้นมามียอดสูงสูงสุด ผู้ที่ทำโครงการแนวราบจะขายได้ดี รองลงมาจะเป็นพวกคอนโดฯ เนื่องจากต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้ออสังหาฯของไทยมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจนี้ต้องพึ่งพายอดขายให้กับชาวต่างชาติสูงมาก แต่ก็ประสบปัญหาการโอนเงินที่ยุ่งยาก

อย่างไรก็ตาม พอมาถึงปี 2566 กลุ่มอสังหาฯก็เริ่มขายได้ยากขึ้น แต่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก ยังขายได้ดี แต่ยอดขายในกลุ่มภูมิภาคเริ่มแย่ลง แต่มาถึงปี 2567 สถานการณ์ก็ย่ำแย่มากขึ้น เพราะธนาคารเริ่มมีหนี้เสียสูงถึงระดับ 6% ทำให้เริ่มปล่อยสินเชื่อยากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก เนื่องจากโรงงานปิดกิจการมากขึ้น จึงทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อน้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยอดขายอสังหาฯลดลงมาก

“เมื่อก่อนช่วงที่โรงงงานเฟื้อฟู มียอดขายและการส่งออกสูง ธนาคารเพียงแต่ดูที่ชื่อเสียงของบริษัทที่ผู้ขอกู้ทำงานอยู่ หากมีชื่อเสียงดี ก็จะปล่อยกู้ทันที แต่ในขณะนี้ โรงงานจำนวนมากเริ่มลดโอที ลดเงินเดือน และลามไปจนถึงปิดกิจการ จึงทำให้ธนาคารแทบจะไม่ปล่อยกู้ให้กับผู้ขอสินเชื่อกลุ่มนี้” นายพรนริศ กล่าว

จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปรับตัวจากการขายบ้านไปสู่การทำธุรกิจขายฝาก จนทำให้ธุรกิจนี้เติบโตเพิ่มขึ้นมาก แต่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็แค่ประคองตัว เพราะธุรกิจขายฝาก หรือการให้เช่า มีต้นทุนการดำเนินงานสูง และเป้าหมายหลักของผู้ประกอบการคือการสร้างบ้านออกมาขาย แต่ทั้งนี้ยังมีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามาสูงมาก โดยเฉพาะชาวจีน แต่กฎหมายของไทยยังมีข้อจำกัดอยู่มาก จึงทำให้เกิดนอมินีแฝงเข้ามาเป็นจำนวนมาก

รายได้คนหด กำลังซื้อลดตาม เสนาฯ ทบทวนโครงการ ลดไซซ์ หยุดแข่งทำเลราคาถูก

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงต้มยำกุ้ง เป็นเรื่องของรายบริษัท แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องรายบุคคล จึงทำให้กำลังซื้อลดลงไปมาก แม้ว่ายังมีดีมานด์อีกเป็นจำนวนมากยังต้องการที่อยู่อาศัยเพราะเป็นปัจจัยสี่ แต่ก็ซื้อไม่ได้ ทั้งนี้สาเหตุของปัญหาเกิดที่คนจึงแก้ได้ยาก และมีข้อมูลอยู่น้อย

ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหานี้ที่ได้ผลมากที่สุด จะต้องเข้าไปหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อให้มีแรงในกาจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นได้ ส่วนการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาช่วยลดดอกเบี้ย น่าจะทำให้อสังหาฯฟื้นตัวได้บ้าง แต่ถ้าจะแก้ให้ตรงจุด ธปท. จะต้องเข้าไปคุมธนาคารพาณิชย์ให้ลดดอกเบี้ยด้วย ซึ่งหาช่วยกันทั้ง 2 ส่วนก็จะช่วยลูกหนี้ได้มาก

“หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยเพียงฝ่ายเดียว อาจจะช่วยกระตุ้นกลุ่มอสังหาฯได้บ้าง เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าซื้อ แต่หากทั้ง ธปท. และธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยลดดอกเบี้ย ก็จะช่วยลดภาระให้กับผู้กู้ ซึ่งจะทำให้กล้าซื้ออสังหาฯ ที่ต้องผ่อนในระยะยาวมากขึ้น” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว

สำหรับทางออกของธุรกิจอสังหาฯนั้น ทาง เสนาฯ จะไม่ไปแข่งตัดราคา แต่จะพิจารณาตามศักยภาพของสินค้า หากสินค้าใดสู้ได้ และมีกำไร ก็จะเดินหน้าต่อ แต่หากโครงการใดอยู่ในทำเลที่ดี มีอนาคตที่ดี แต่ในช่วงนี้ตลาดไม่มีกำลังซื้อก็จะหยุดการขายไว้ก่อน เพราะทำเลทองหาได้ยาก หากขายในราคาถูกก็จะเสียโอกาส ส่วนสินค้าที่ดูแล้วสู้คู่แข่งได้ยาก ก็จะตัดขายออกไปเพื่อเก็บเงินสด

วิกฤตเริ่มต้นจากรายย่อยหนี้ท่วม คนไทยย้ายลงทุนที่ดินและคอนโดฯ

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานชมรมวานิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (IB ClUB) กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาหลัก 2 เรื่อง คือ 1. ในช่วงโควิด-19 ผู้ประกอบการ และประชาชนจำนวนมากพยายามประคองชีวิตโดยการก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาก และมีหนี้นอกระบบสูงขึ้น จากในหลังโควิด-19 ก็ประสบปัญหาดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก และยังมีปัญหาสงครามเข้ามาซ้ำเติม และ 2. การดิสรัปชั่นของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการใช้บุคลากรน้อยลง รวมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ก็เพิ่มมูลค่าได้ยาก เช่น สินค้าเกษตรที่มีราคาต่ำ รวมทั้งยังมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

จากสาเหตุดังกล่าว จึงทำให้ในปัจจุบันไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงมาก สวนทางกับรายได้ที่ลดลงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ประกอบกับยังมีคนจำนวนมากที่มีค่านิยมที่ฟุ่มเฟือย จึงซ้ำเติมภาวะหนี้มากขึ้น รวมทั้งคนไทยยังไม่สามารถสู้กับทุนต่างชาติได้ และยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้มีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“กำลังซื้อของคนไทยลดลงมาก จนทำให้ต้องเปลี่ยนจากการซื้อบ้านไปเป็นการเช่าบ้านแทน ส่วนกำลังซื้ออสังหาฯ กลับไปตกอยู่ในมือต่างชาติแทน เพราะว่ามีต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นมาก แต่รายได้ที่เกิดขึ้นกลับเข้าถึงมือคนไทยน้อย ซึ่งหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข คนไทยก็จะเข้าถึงอสังหาฯได้ยากขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ค่านิยมในการลงทุนในที่ดินและอสังหาฯ เพื่อเก็งกำไรของคนไทยก็ลดลง ทำให้กำลังซื้อจากกลุ่มนี้ลดลงไปมาก เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ทำให้ลงทุนในด้านอื่นทำได้ง่ายขึ้น และมีผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น การเล่นหุ้นต่างประเทศ การลงทุนในตลาดทองคำ หรือเงินดิจิทัล

“ในสภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ทุกคนจะต้องปรับตัว ทุกวิกฤตย่อมมีจุดเปลี่ยนเกิดช่องทางใหม่ในการทำธุรกิจอยู่ที่การมีสติหาแนวทางใหม่ แต่ต้องไม่ไปลอกเลียนแบบ ผู้ประกอบการจะต้องรู้ถึงจุดแข็งและความชำนาญของตัวเอง นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ และใช้บทเรียนประสบการณ์มากำหนดกลยุทธ์วิถีใหม่ที่เป็นตัวของตัวเอง” นายสมศักดิ์ กล่าวในที่สุด

อ่านข่าวต้นฉบับ: กูรูอสังหาฯ ห่วงวิกฤตลามจากฐานรากสู่บน แนะ ธปท.ลดดอกเบี้ยแก้หนี้ดีมานด์ซบ

]]> https://www.prachachat.net/property/news-1629701/feed 0 ORN กำแบ็กล็อก 1,148 ล้านบาท หนุนยอดรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง 67 https://www.prachachat.net/property/news-1629404 https://www.prachachat.net/property/news-1629404#respond Tue, 13 Aug 2024 09:49:14 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1629404 ORN เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้ 378.69 ล้านบ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ORN กำแบ็กล็อก 1,148 ล้านบาท หนุนยอดรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง 67

]]>
ORN เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้ 378.69 ล้านบาท ชี้ตลาดอสังหาฯ กำลังซื้อชะลอ จากปัจจัยดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง แต่ยอดขายลูกค้าต่างชาติตอบรับดีเกินคาด หนุนแบ็กล็อกแน่น 1,148 ล้านบาท ครึ่งปีหลังอัดแคมเปญทุกโครงการ กระตุ้นยอดขายเพิ่ม สร้างการเติบโตต่อเนื่อง

วันที่ 13 สิงหาคม 2567 นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยแพง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สถาบันการเงินระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และมียอดปฏิเสธสินเชื่อสูงมาก

อย่างไรก็ตาม บริษัทมียอดขายจากการโอนซื้อของลูกค้าต่างชาติที่มีโควตาซื้อคอนโดฯ 49% โดยบริษัทมีฐานลูกค้าชาวต่างชาติ 25%

ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,148 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป

สำหรับแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2567 บริษัทปรับกลยุทธ์ด้วยการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ต้องการอยู่อาศัยในระยะยาว และเพื่อการลงทุน ควบคู่การออกแคมเปญทางการตลาด จัดโปรโมชั่นพิเศษทุกโครงการที่อยู่ระหว่างขาย กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ สร้างยอดขาย ผลักดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์

“ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากต่างชาติ และลูกค้าคนไทยทั้งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ในส่วนของลูกค้าต่างชาติ บริษัทปรับกลยุทธ์ทำงานร่วมกับตัวแทนขายต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อเร่งขยายฐานลูกค้าต่างชาติยุโรปและเอเชีย ชูจุดเด่นทำเลและบริการดูแลหลังการขายแบบครบวงจร”

นายปรีดิกรกล่าวถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้ 378.69 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 8.10 ล้านบาท โดยมีกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติบางส่วน เลื่อนโอนกรรมสิทธิ์ออกไปในไตรมาส 3/67

ทั้งนี้ บริษัทรับรู้รายได้ยอดโอนกรรมสิทธิ์อยู่ในระดับที่ดี แบ่งเป็นรายได้การโอนบ้านแนวราบ มูลค่า 108.53 ล้านบาท และรายได้การโอนคอนโดมิเนียม 72.87 ล้านบาท และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการ มูลค่า 1.06 ล้านบาท

อ่านข่าวต้นฉบับ: ORN กำแบ็กล็อก 1,148 ล้านบาท หนุนยอดรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง 67

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1629404/feed 0
ASW โชว์แกร่ง ครึ่งปีแรกรับรู้รายได้ 4,642 ล้าน กำไรโตพุ่ง 93% ลุยลงทุนใหม่ครึ่งปีหลัง https://www.prachachat.net/property/news-1629369 https://www.prachachat.net/property/news-1629369#respond Tue, 13 Aug 2024 09:32:32 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1629369 ASW เผย 6 เดือนแรก 2567 มีรายได้ 4,642 ล้าน โต 54% กำไร […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ASW โชว์แกร่ง ครึ่งปีแรกรับรู้รายได้ 4,642 ล้าน กำไรโตพุ่ง 93% ลุยลงทุนใหม่ครึ่งปีหลัง

]]>
ASW เผย 6 เดือนแรก 2567 มีรายได้ 4,642 ล้าน โต 54% กำไรสุทธิ 849 ล้าน โต 93% ตุนยอดขาย 10,730 ล้าน หลัง 2 คอนโดฯ ใหม่ภูเก็ตแบรนด์ The Title ลูกค้าจองซื้อทะลัก ทริสเรทติ้งปรับเครดิตเป็น “BBB-/Positive แบ็กล็อกรวม 23,678 ล้าน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดคอนโด-แนวราบ 6 โครงการใหม่ 11,760 ล้าน

วันที่ 13 สิงหาคม 2567 นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness”

เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 (เมษายน – มิถุนายน 2567) บริษัทสามารถทำรายได้รวม 2,884 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 593 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ถึง 64% และ 131% ตามลำดับ

ส่งผลให้ผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน 2567) บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,642 ล้านบาท เติบโต 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีกำไรสุทธิ 849 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 93% ถือเป็นรายได้และกำไรสุทธิงวดครึ่งปีแรก ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (New High)

ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก ASW สามารถโอนโครงการสร้างเสร็จใหม่ได้ตามแผนที่ตั้งไว้ และรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการที่เป็นไฮไลต์ของการโอนในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์ (Kave Town Island) แคมปัสคอนโด ใกล้ ม.กรุงเทพ จำนวน 1,770 ยูนิต มูลค่า 3,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายได้แล้ว 99%

และโครงการเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (The Title HALO 1) โครงการ Leisure Condominium ใกล้สนามบินภูเก็ต จำนวน 329 ยูนิต มูลค่า 1,537 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 93%

โดยทั้ง 2 โครงการจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง และเป็นแรงหนุนสำคัญในไตรมาส 3/67

ในส่วนของยอดขาย (พรีเซล) ในครึ่งปีแรกทำได้ 10,730 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเปิดตัวโครงการ Leisure Condominium ในทำเลภูเก็ต ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE บริษัทย่อยในเครือแอสเซทไวส์ จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท

ได้แก่ เดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา (The Title Heritage Bang-Tao) จำนวน 789 ยูนิต และเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง (The Title Serenity Nai-Yang) จำนวน 814 ยูนิต ที่ได้รับกระแสตอบรับดีและมียอดขายเป็นที่น่าพึงพอใจ

ล่าสุด ทริสเรทติ้งได้ปรับแนวโน้มเครดิตอันดับความน่าเชื่อถือของแอสเซทไวส์จาก “BBB-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ “BBB-” แนวโน้ม “เป็นบวก” (Positive) จากภาพรวมที่แข็งแกร่งของบริษัท และผลการดำเนินงานที่รักษาระดับการเติบโตได้อย่างมั่นคง ทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ

โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/67 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ทั้งสิ้น 23,678 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้ถึงปี 2569

นายกรมเชษฐ์กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าตามแผน The New Frontiers มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ ด้วยการเปิดตัวคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบโครงการใหม่ ในกรุงเทพฯ EEC และภูเก็ต จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 11,760 ล้านบาท

แบ่งเป็นไตรมาส 3/67 บริษัทเปิดขายบ้านแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่ ดิ อาเบอร์ รามอินทรา-วัชรพล (The Arbor Ramintra-Watcharapol) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่สไตล์ครีเอทีฟโมเดิร์นท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ ใกล้ทางด่วนฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) เริ่มต้น 8.99 ล้านบาท

กับ ฌาน เดอะ ริเวอร์ไซด์ บรมราชชนนี (CHANN The Riverside Boromratchachonnani) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวทำเลริมแม่น้ำท่าจีน ราคาเริ่มต้น 15-30 ล้านบาท ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า

รวมถึงเตรียมเปิดตัวโครงการเรือธง (Flagship project) ภายใต้แบรนด์ใหม่ อควารัส จอมเทียน พัทยา (Aquarous Jomtien Pattaya) คอนโดมิเนียมหรู ใกล้หาดจอมเทียน มูลค่า 4,500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ขณะเดียวกัน แอสเซทไวส์ยังแสวงหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) ด้วยการขยายลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ คือ Health & Wellness เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ตั้งเป้าหมายเปิด “ร็อคเก็ตฟิตเนส” (Rocket Fitness) ฟิตเนสทางเลือกใหม่ในทำเลเข้าถึงง่าย

กับ “ไวทาลา” (Vitala) คลินิกกายภาพบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย รวม 4 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยจะเปิดให้บริการในคอมมูนิตี้มอลล์ “มิงเกิ้ล” (Mingle) และโครงการของบริษัทเพื่อให้เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจรีเทลและคอมมูนิตี้มอลล์

“ปีนี้เป็นปีที่ ASW มองเห็นสัญญาณการเติบโตที่โดดเด่น ทั้งด้านยอดขาย รายได้ และกำไร เราจึงเชื่อมั่นว่าแผน The New Frontiers จะช่วยให้เรายังยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ และสามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายรายได้ 8,700 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับ: ASW โชว์แกร่ง ครึ่งปีแรกรับรู้รายได้ 4,642 ล้าน กำไรโตพุ่ง 93% ลุยลงทุนใหม่ครึ่งปีหลัง

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1629369/feed 0
ชีวาทัยสู้ชีวิต โชว์ครึ่งปีแรกกำไรเป็นบวก เดินหน้าไล่ล่าเป้ารายได้ปีนี้ 2,000 ล้านบาท https://www.prachachat.net/property/news-1628296 https://www.prachachat.net/property/news-1628296#respond Mon, 12 Aug 2024 08:58:11 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628296 CHEWA เปิดตัวเลขไตรมาส 2/67 มีรายได้รวม 467.40 ล้านบาท […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ชีวาทัยสู้ชีวิต โชว์ครึ่งปีแรกกำไรเป็นบวก เดินหน้าไล่ล่าเป้ารายได้ปีนี้ 2,000 ล้านบาท

]]>
CHEWA เปิดตัวเลขไตรมาส 2/67 มีรายได้รวม 467.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.45% หรือเพิ่ม 91.05 ล้านบาท ผลักดันผลประกอบการ 6 เดือน กำไรสุทธิ 20.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171.24 % ย้ำยังคงมุ่งมั่นเป้าหมายรายได้ของปี 2567 ที่ 2,000 ล้านบาท

วันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีรายได้รวม 467.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 91.05 ล้านบาท คิดเป็น 24.45%

แบ่งเป็นรายได้คอนโดมีเนียม 321.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% รายได้บ้านแนวราบ 131.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 65.07% รายได้บ้านมือสอง 10.90 ล้านบาท และมีรายได้อื่น ๆ 3.97 ล้านบาท คิดเป็น 3.18% ของรายได้รวม

ส่งผลห้การดำเนินงาน 3 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 4.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.53% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และการดำเนินงาน 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 20.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171.24% จากงวดเดียวกันในปีก่อน

โดยยอดขายหลักๆ มาจากคอนโดฯ กลุ่มราคา 2-4 ล้านบาท ได้แก่ ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 ทั้ง 2 เฟส, ชีวาทัย ปิ่นเกล้า และชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์

ส่วนยอดขายบ้านแนวราบมาจากโครงการชีวาโฮม กรุงเทพ-ปทุม และ ชีวาโฮม รังสิต-ปทุม รวมทั้งมีผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในโครงการบ้านเดี่ยว ชีวารมย์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่ ที่เปิดจองและโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

บุญ ชุน เกียรติ
บุญ ชุน เกียรติ

CEO ชีวาทัยกล่าวต่อว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม อยู่ในช่วงหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน แม้มีเรื่องมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ที่มีการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 0.01 พร้อมขยายเพดานจากราคา 3 ล้านบาทเพิ่มเป็น 7 ล้านบาทแล้วจนถึงสิ้นปี 2567

แต่ก็ยังคงมีปัจจัยด้านลบในหลายเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยรวม เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของลูกค้าในภาพรวม

ในส่วนของชีวาทัย แม้ตลาดรวมมีผลกระทบหลายด้าน แต่จำนวนลูกค้าที่เข้าชมโครงการไม่ได้ลดลง โดยลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น รวมถึงความสามารถในการกู้ลดลง

บริษัทจึงปรับกลยุทธ์จัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงไตรมาส 3/67 ผ่านแคมเปญ “อยากซื้อต้องได้ซื้อ” ในรูปแบบเพิ่มดีกรีการให้บริการ financial consultant ดูแลลูกค้าที่มีปัญหาด้านการจัดการเอกสารการกู้สินเชื่อ การบริหารภาระหนี้ หรือปัญหาด้านวินัยทางการเงิน จนไม่สามารถกู้ได้

โดยชีวาทัยจะเข้าไปดูแลให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในระยะยาวต่อเนื่องจนสามารถกู้ผ่านและโอนได้ ทำให้มี backlog ส่วนหนึ่งที่อยู่กับเรานานมาก บางรายมากกว่า 6 เดือน และค่อยๆ ปรับปรุงวินัยทางการเงินจนสามารถกู้ได้สำเร็จ ทำให้บริษัทฯยังคงผลกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนั้น ยังมีการสอบถามและจัดให้มีโปรโมชั่นที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเมื่อซื้อสินค้าจากชีวาทัย จะได้สินค้าที่มีคุณภาพและมีการบริการหลังการขายที่ดี ท่ามกลางภาวะการแข่งขันรุนแรงในการจัดกิจกรรมการตลาด ทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ชีวาทัยยังคงมุ่งมั่นสู่เป้าหมายรายได้ของปี 2567 ที่ 2,000 ล้านบาท ตามที่ประกาศแผนธุรกิจเมื่อตอนต้นปี 2567 อยู่เช่นเดิม

สำหรับการลงทุนใหม่ในปี 2567 นี้ ยังคงมีแผนขยายการลงทุนคอนโดฯ เพิ่มอีก 1-2 โครงการ ได้แก่คอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท

เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเปิดพรีเซลส์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าในพื้นที่เป็นอย่างดี มียอดจองในวัน Soft launch 120 ล้านบาท ตามแผนคาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3/67

รายละเอียด ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา ออกแบบให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “Good Vibes, More Life-ชีวิตที่ใช่ ใช้ได้สุดยิ่งกว่า” นำเสนอพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็ม และทำเลที่ตั้งโดดเด่นด้านการเดินทางสะดวก อยู่บนถนนนวลจันทร์ เชื่อมต่อถนนรัชดา-รามอินทรา, ใกล้ถนนเกษตร-นวมินทร์, ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอก

ที่สำคัญ อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีคู้บอน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าในอนาคต อย่างสายสีน้ำตาล สถานีนวลจันทร์ และรถไฟฟ้าสายสีเทา สถานีคลองลำเจียก

“บริษัทเน้นบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีความคุ้มค่า ภายใต้หลักการ ESG ล่าสุดเราเพิ่งเปิดตัว CHEWA AI ทีมงานเอไอ มาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Enhancing Sustainability through Artificial Intelligence เสริมสร้างความยั่งยืนผ่านปัญญาประดิษฐ์” เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการเติบโตขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นายบุญ ชุน เกียรติกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับ: ชีวาทัยสู้ชีวิต โชว์ครึ่งปีแรกกำไรเป็นบวก เดินหน้าไล่ล่าเป้ารายได้ปีนี้ 2,000 ล้านบาท

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628296/feed 0
LPN ประกาศแต่งตั้ง “ดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์” นั่งตำแหน่ง CEO มีผล 16 สิงหาคมนี้ https://www.prachachat.net/property/news-1628286 https://www.prachachat.net/property/news-1628286#respond Mon, 12 Aug 2024 08:36:20 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628286 LPN โดยบอร์ดมีมติแต่งตั้งนางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ขึ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: LPN ประกาศแต่งตั้ง “ดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์” นั่งตำแหน่ง CEO มีผล 16 สิงหาคมนี้

]]>
LPN โดยบอร์ดมีมติแต่งตั้งนางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer : CEO) ซึ่งมีผลวันที่ 16 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ตามที่ได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพื่อวางแนวทางสร้างองค์กรสู่ยุคใหม่

ล่าสุด คณะกรรมการบอร์ดบริษัท มีมติแต่งตั้งนางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer : CEO) โดยให้มีผลวันที่ 16 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

สำหรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ของ LPN อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยนางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ จะดำรงตำแหน่ง CEO แทนนายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริษัท ให้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2567

สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2567 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน (Revenue) อยู่ที่ 3,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% (YOY) จากครึ่งปีแรก 2566 ที่ 3,564 ล้านบาท

โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท มีกําไรสะสมตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท จำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจอื่น ๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว

อ่านข่าวต้นฉบับ: LPN ประกาศแต่งตั้ง “ดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์” นั่งตำแหน่ง CEO มีผล 16 สิงหาคมนี้

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628286/feed 0
ธนาสิริบุกบ้านเดี่ยว “ธนาพาร์ค พรีเว่ 2” ดักลูกค้าโซนนครอินทร์-ปิ่นเกล้า เริ่ม 5.89 ล้าน https://www.prachachat.net/property/news-1628280 https://www.prachachat.net/property/news-1628280#respond Mon, 12 Aug 2024 08:25:38 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628280 THANA ขานรับเรียลดีมานด์ย่านนครอินทร์-ปิ่นเกล้า เปิดขาย […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ธนาสิริบุกบ้านเดี่ยว “ธนาพาร์ค พรีเว่ 2” ดักลูกค้าโซนนครอินทร์-ปิ่นเกล้า เริ่ม 5.89 ล้าน

]]>
THANA ขานรับเรียลดีมานด์ย่านนครอินทร์-ปิ่นเกล้า เปิดขายบ้านเดี่ยวแบรนด์ “ธนาพาร์ค พรีเว่ 2 นครอินทร์-ปิ่นเกล้า” เจาะกลุ่มลูกค้าสังคมส่วนตัวสูง ที่ชอบความเป็นธรรมชาติ สงบ ร่มเย็น เคาะราคาเริ่มต้น 5.89 ล้านบาท

วันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ธนาสิริกรุ๊ปกำหนดเปิดพรีเซลส์บ้านเดี่ยวแบรนด์ที่ขายดีของบริษัท โครงการธนาพาร์ค พรีเว่ 2 นครอินทร์-ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 230 ล้านบาท ภายในเดือนสิงหาคมนี้

โดยเป็นการต่อยอดความสำเร็จและพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ “ธนาพาร์ค พรีเว่” ออกแบบสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัลที่รายล้อมด้วยธรรมชาติสีเขียวรอบบริเวณบ้าน ภายใต้แนวคิด “ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ กับ ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบ (Natural With New Life Of Peaceful)” ราคาเริ่ม 5.89 ล้านบาท*

“ธนาพาร์ค พรีเว่ 2 นครอินทร์-ปิ่นเกล้า ตั้งอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญของย่านนครอินทร์-ปิ่นเกล้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียนชั้นนำ ศูนย์การค้าขนาดและหน่วยงานรัฐที่คอยให้บริการขั้นพื้นฐานต่างๆ

นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์

นอกจากนี้ มีจุดเด่นแวดล้อมด้วยโครงข่ายการคมนาคมรอบด้าน เชื่อมครบทุกโครงข่ายการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ที่ตั้งโครงการเหมาะสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพ”

ทั้งนี้ ธนาคารพาร์ค พรีเว่ 2 นครอินทร์-ปิ่นเกล้า มีบ้านจำนวนจำกัด 34 หลัง ทำให้การอยู่อาศัยไม่หนาแน่น สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายวัย 28-40 ปี เน้นความเป็นสังคมส่วนตัว อยู่ในวัยทำงานที่ใช้ชีวิตอิสระ และกลุ่มคนโสด หรือแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก กลุ่มทำงานที่บ้านหรือ WFH

สำหรับโปรโมชันในโอกาสเปิดโครงการใหม่ “ธนาพาร์ค พรีเว่ 2 นครอินทร์-ปิ่นเกล้า” เปิดให้เลือกแปลงสวยโซนหน้าโครงการพร้อมอยู่ก่อนใคร โดยตลอดเดือนสิงหาคมนี้ เพียงจองและโอนกรรมสิทธิ์ รับฟรีเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ พร้อมสวนสวยรอบบริเวณบ้าน

รายละเอียดโครงการ มีบ้านจำนวน 34 หลัง ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 6 ไร่ แบ่งเป็นบ้านขนาดใหญ่ บนที่ดิน 55-80 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 185-233 ตร.ม. จำนวน 6 หลัง และบ้านขนาดกลาง บนที่ดิน 35-49 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 155 ตร.ม. จำนวน 28 หลัง

จุดเด่นการออกแบบสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล เน้นความโปร่งโล่งสบาย ผสมผสาน Modern กับเส้นสายที่เรียบง่ายมาตกแต่ง ส่วนทรอปิคัลเป็นการออกแบบที่เน้นการเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นธรรมชาติ และโทนสีอบอุ่น เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัว และให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

สอดรับกับไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัวที่ผสมผสานความเป็นธรรมชาติในการอยู่อาศัย ภายใต้ร่มเงาต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีทุกบ้าน ซึ่งการปลูกต้นไม้ ช่วยให้ลดอุณหภูมิลงได้ถึง 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้อากาศสดชื่น ร่มเย็น และเพิ่มความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยได้ในทุกครอบครัว

ขณะเดียวกัน เพิ่มความสะดวกสบายด้วย Home Automation ระบบรักษาความปลอดภัยที่นำเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาใช้ภายในบ้าน และโครงการ โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอยู่อย่างสบายใจ เพิ่มคุณค่าให้กับโครงการตั้งแต่บริเวณทางเข้า-ออก ตลอดจนดูแลใส่ใจรายละเอียดการใช้ชีวิตภายในบ้านของคนทุกวัย ภายใต้แนวคิด ธนาสิริ … เราดูแล

 

 

อ่านข่าวต้นฉบับ: ธนาสิริบุกบ้านเดี่ยว “ธนาพาร์ค พรีเว่ 2” ดักลูกค้าโซนนครอินทร์-ปิ่นเกล้า เริ่ม 5.89 ล้าน

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628280/feed 0
PROUD โชว์ Q2/67 โตแกร่ง คว้ารายได้ 713 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 33% https://www.prachachat.net/property/news-1628275 https://www.prachachat.net/property/news-1628275#respond Mon, 12 Aug 2024 08:02:44 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1628275 PROUD เผยผลประกอบการ Q2/67 รายได้ 713 ล้านบาท โตพุ่ง 14 […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: PROUD โชว์ Q2/67 โตแกร่ง คว้ารายได้ 713 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 33%

]]>
PROUD เผยผลประกอบการ Q2/67 รายได้ 713 ล้านบาท โตพุ่ง 148% กำไร 11 ล้านบาท โต 33% ดันผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 รายได้ 1,784 ล้านบาท โต 50% กำไรสุทธิ 89ล้านบาท คอนโดฯ Nue Cross Khu Khot Station โอนเร็วกว่าคาด การเงินแข็งแกร่งทำให้จ่ายคืนเงินกู้ก่อนกำหนด

วันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/67 มีรายได้รวม 713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 425 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 288 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 148%

บริษัทมีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33%

ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้รวม 1,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 592 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,192 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50% และมีกำไรสุทธิ 89 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม Nue Cross Khu Khot Station ที่มียอดขาย (pre-sales) แล้ว 100% ปัจจุบันมียอดโอนกรรมสิทธิ์เร็วกว่าคาดการณ์กว่า 80 % คิดเป็นมูลค่า 1,673 ล้านบาท จำนวน 959 ยูนิต

รวมทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างทยอยส่งมอบโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหินเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจและตั้งเป้าปิดการขาย 2 โครงการในปี 2567 อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ จากผลการดำเนินงานที่เติบโตเร็วกว่าคาดการณ์ ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี สามารถชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันของโครงการ Nue Cross Khu Khot Station ได้ก่อนกำหนด สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทพร้อมเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ สร้างการเติบโตอย่าง มั่นคงและแข็งแกร่ง

“มั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ระดับไฮเอนด์ แม้ในสภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมชะลอตัว PROUD ยังคงมียอดขายสะสมจากโครงการแนวราบ-แนวสูงทุกโครงการอยู่ในระดับที่ดี สวนกระแสเศรษฐกิจ

โดยฐานลูกค้ามาจากกลุ่มกำลังซื้อเรียลดีมานด์ชาวต่างชาติ 37% ชาวไทย 63% ซึ่งจุดแข็งอยู่ทีกลยุทธ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี บนทำเลศักยภาพสูง เปิดโครงการไม่มากแต่เน้นการออกแบบและบริการที่ดีที่สุด วิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างละเอียด ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ได้อย่างแท้จริง ล่าสุด บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 10,663 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2569” นายพสุกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับ: PROUD โชว์ Q2/67 โตแกร่ง คว้ารายได้ 713 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 33%

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1628275/feed 0
อสังหาฯชวนซื้อคอนโดฯให้แม่ อิงแคมเปญ “กตัญญูมาร์เก็ตติ้ง” Q3/67 https://www.prachachat.net/property/news-1627515 https://www.prachachat.net/property/news-1627515#respond Mon, 12 Aug 2024 05:04:32 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1627515 เทศกาลวันแม่แห่งชาติเดือนสิงหาคม 2567 ค่ายอสังหาฯแข่งจั […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: อสังหาฯชวนซื้อคอนโดฯให้แม่ อิงแคมเปญ “กตัญญูมาร์เก็ตติ้ง” Q3/67

]]>
เทศกาลวันแม่แห่งชาติเดือนสิงหาคม 2567 ค่ายอสังหาฯแข่งจัดโปรโมชั่นชวนซื้อคอนโดฯให้แม่

โดยผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจการจัดแคมเปญโปรโมชั่นระบายสต๊อกบ้านและคอนโดมิเนียมในไตรมาส 3/67 โดยมีไฮไลต์เทศกาลวันแม่แห่งชาติในเดือนสิงหาคม พบว่า มีการนำเสนอแพ็กเกจเร้าใจ หลายโครงการมีเงื่อนไขสามารถจองซื้อและโอนภายในสิ้นเดือนสิงหาคม แต่มีการเพิ่มอีเวนต์พิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อตรงกับช่วงวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2567 จะได้รับโปรโมชั่น On Top เพิ่มเติม

ทั้งนี้ จากแนวโน้มเส้นกราฟขาลงของผลประกอบการภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีแรก 2567 นำมาสู่การตื่นตัวจัดอีเวนต์กระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง โดย “ธีรวัฒน์ พิพัฒน์ดิฐกุล” ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่าง 31 ตุลาคม-3 พฤศจิกายนนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อัพเดตการจองบูทในงานพื้นที่ 5,500 ตารางเมตรว่ามีการจับจองอย่างคับคั่งล้นหลามเกือบ 100% โดยเหลือเพียง 14 บูทสุดท้ายเท่านั้น

ขั้นตอนจากนั้น มหกรรมบ้านฯ กำหนดพิธีจับสลากบูทในวันที่ 3 กันยายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“ผมมองว่าท่ามกลางปัจจัยรุมเร้าในตลาดอสังหาฯไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องเน้นนโยบายทำธุรกิจแบบประคองตัว โดยงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะ Thailand Number One Real Estate Expo รวบรวมที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถือว่าเราจัดงานได้ถูกจังหวะเวลา จึงเป็นเวทีกลาง และเป็นโอกาส ในการทำหน้าที่เชื่อมผู้ประกอบการและผู้ซื้อได้มาเจอกัน ตอบโจทย์ให้แก่ทุกฝ่าย การจัดงานครั้งที่ 46 นี้ สามารถทำลายสถิติในการขายบูทได้เต็มอย่างรวดเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา” นายธีรวัฒน์กล่าว

RML โปรฯปิดตึกเทตต์ สาทร 12

จากการสำรวจพบว่า บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML จัดแคมเปญ “Last Call” โอกาสสุดท้ายกับการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมลักเซอรี่แบรนด์ “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์-Tait Sathorn 12” ห้องชุดพร้อมอยู่และเลี้ยงสัตว์ได้ บนทำเลใจกลางสาทร ในราคาพิเศษเริ่มต้น 209,000 บาท/ตารางเมตร จากราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 270,000 บาท เงื่อนไขจองซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 31 สิงหาคมนี้

รายละเอียดเทตต์ สาทร ทเวลฟ์ เหมาะทั้งอยู่อาศัยและซื้อลงทุน ตั้งอยู่บนทำเลเดินทางสะดวก ใกล้ BTS เซนต์หลุยส์ 180 เมตร ดีไซน์โดดเด่นด้วยรูปทรงอาคารที่เป็น Iconic Slope ได้รับรางวัลด้านดีไซน์ 4 ปีซ้อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มมากมาย ครอบคลุมพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีห้องชุดรอขายเป็นแบบ 1-2 ห้องนอนเท่านั้น พื้นที่ใช้สอย 40-239 ตารางเมตร ยังมีให้เลือกแบบ Fully Fitted และห้องชุดแต่งครบพร้อมอยู่

โดยมีห้องตัวอย่าง (Mock up) ให้ชมบนตึกจริง 2 ไทป์ ได้แก่ ห้องชุด 1 ห้องนอน ดิ ไอคอนิค สวีท พื้นที่ใช้สอย 68 ตารางเมตร โดยร่วมมือกับ CHANINTR ผู้นำด้านการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ลักเซอรี่จากสหรัฐอเมริกา ตกแต่งสไตล์ Classical American ในราคาพิเศษ และห้องชุด 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 108 ตารางเมตรมาให้เลือกสรร

โดย RML มีออนท็อปโปรโมชั่นวันแม่เดือนสิงหาคม จะได้รับของขวัญพิเศษจาก Cle de Peau Beaute มูลค่า 18,970 บาท สำหรับลูกค้าที่จองห้องและเซ็นสัญญาซื้อขาย (SPA) ภายใน 31 สิงหาคม 2024 แบ่งเป็นชุด Synactif Travel Kits มูลค่าชุดละ 11,470 บาท และบัตรกำนัลบริการทำทรีตเมนต์ใบหน้า Synactif มูลค่า 7,500 บาท

กราฟิก ดสังหา

พฤกษาฯมัด 112 โครงการแจม

ด้าน “ธีระ ทองวิไล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทจัดแคมเปญ “The Real ไม่ช็อตฟีล” มอบเป็นของขวัญให้ลูกค้า ด้วยการนำ 112 โครงการในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทุกประเภท ทุกเซ็กเมนต์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม มอบข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ยคงที่ 0.95% นาน 2 ปี ร่วมกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ

หรือเลือกรับผ่อนต่ำเพียงล้านละ 900 บาท ร่วมกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ นาน 2 ปี และโปรโมชั่นอื่นอีกมากมาย ทั้งส่วนลดต่อหลังสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรีค่าโอน ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-30 กันยายน 2567 นี้

“การสร้างบ้านสุขภาพดีเป็นโมเดลในการพัฒนาบ้านของพฤกษาฯ ผสานจุดแข็งของ 2 ธุรกิจ คือ พฤกษาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และโรงพยาบาลวิมุต ธุรกิจในเครือที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจนี้จะร่วมกันสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับผู้อยู่อาศัย โดยเชื่อมต่อ Home-Health-Tech เข้าไว้ด้วยกัน

โดยเรามอบบริการด้านสุขภาพ ที่ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมปรึกษาแพทย์ออนไลน์หรือ Telemedicine มีแพทย์คอยให้คำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีบริการจัดส่งยาถึงบ้าน อำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ทั้งระยะก่อนเจ็บป่วย ระยะเจ็บป่วย และระยะฟื้นฟูสุขภาพหลังการรักษา”

ซื้อบ้านให้แม่ธนาสิริลด 3 ล้าน

บริษัท ธนาสิริกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญ “Thanasiri Love U Mom มอบบ้านหลังใหม่ให้แม่” จองวันนี้ลดสูงสุดกว่า 3 ล้าน ต้อนรับวันแม่ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ เติมเต็มความสุขให้ครอบครัว กับ 9 โครงการคุณภาพในเครือ รายละเอียด อาทิ จองเริ่มต้น 3,000 บาท ลดสูงสุดกว่า 3 ล้านบาท ควบคู่รับสิทธิประโยชน์ฟรีแอร์ทั้งหลัง

ทั้งยังเติมเต็มการอยู่อาศัยด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ และฟรีค่าส่วนกลาง 2 ปี พร้อมรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.7% ปีแรก รวมทั้งขาดไม่ได้คือโปรฯออนท็อป แพ็กเกจดูแลสุขภาพครบทุกช่วงวัยจาก Homey Wellness by Newton EM คลินิกกายภาพบำบัดในเชิงการป้องกันดูแลสุขภาพ เติมเต็มหัวใจเพื่อแม่

สำหรับลูกค้าที่วิสิตไซต์ทุกโครงการของธนาสิริกรุ๊ป ระหว่าง 10-12 สิงหาคมนี้ รับทันทีต้นมะลิแทนใจให้คุณได้บอกรักแม่ในทุกวัน เพราะที่นี่ ธนาสิริ… เราดูแล

แสนสิริจัดหนักโปรฯ “หวานเกิ๊น”

ด้าน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำเสนอโปรฯ “หวานเกิ๊น” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงไตรมาส 3/67 มอบสิทธิประโยชน์อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี รับส่วนลดสูงสุด 1.6 ล้านบาท เงื่อนไขจองซื้อและโอนตั้งแต่วันนี้-30 กันยายน 2567

รายละเอียดแคมเปญ นำห้องชุดพร้อมอยู่ 16 โครงการ บนทำเลฮิตในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อาทิ เอ็กซ์ที พญาไท เริ่ม 5.29 ล้านบาท อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ลดสูงสุด 1.6 ล้านบาท, เดอะ ไลน์ ไวบ์ เริ่ม 4.09 ล้านบาท อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ลดสูงสุด 5 แสนบาท, เนีย บาย แสนสิริ เริ่ม 3.59 ล้านบาท อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ลดสูงสุด 9 แสนบาท, เดอะ มูฟ บางนา เริ่ม 1.59 ล้านบาท อยู่ฟรีสูงสุด 1 ปี ลดสูงสุด 6 หมื่นบาท และเฮย์ หัวหิน เริ่ม 1.39 ล้านบาท อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ลดสูงสุด 2.59 แสนบาท ซึ่งเป็นคอนโดฯทำเลใจกลางหัวหิน ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งไลฟ์สไตล์ ห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยว

“พีซแอนด์ลีฟวิ่ง” แข่งโปรฯด้วย

ขณะที่ “อธิศ วงศ์ศศิธร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อมีหลักประกัน ทีเอ็มบีธนชาต และ “โดม ศิริโสภนา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดแคมเปญสินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปีแรก ผ่อนสบายล้านละ 2,800 บาท/เดือน เลือกผ่อนชำระสูงสุด 35 ปี ฟรี ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย

นอกจากนี้ รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากพีซแอนด์ลีฟวิ่ง อาทิ ค่าตกแต่งสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้จองและโอนบ้านในเครือ 5 โครงการ อาทิ Cher สุขสวัสดิ์-พุทธบูชา, ราชพฤกษ์, ราชพฤกษ์-พระราม 5, Cherea Vicinity ราชพฤกษ์-เจษฎาบดินทร์ และ Cherene กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า ตั้งแต่วันนี้-30 กันยายนนี้

MQDC รับประกัน 30 ปี

ส่วนค่าย MQDC โดยบริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด จัดโปรโมชั่น “Last Call โอกาสสุดท้าย ก่อนปิดโครงการ” นำคอนโดฯวิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว มอบสิทธิประโยชน์ Cashback สูงสุด 1,000,000 บาท โดยมีห้องชุดเริ่ม 28 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน ราคาเริ่ม 4.29 ล้านบาท หรือราคา 151,323 บาท/ตารางเมตร ไปจนถึงห้องเพนต์เฮาส์ 110 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 18.8 ล้านบาท หรือ 170,506 บาท/ตารางเมตร

รายละเอียดวิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ออกแบบเป็นคอนโดฯไฮไรส์ สูง 27 ชั้น จำนวน 497 ยูนิต บนเนื้อที่ 3 ไร่ ติดรถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว ทางออกที่ 1 ห้องชุดไซซ์เริ่มต้น 28 ตารางเมตร โดยหนึ่งในจุดขายทาง MQDC ให้การรับประกัน 30 ปีในอสังหาริมทรัพย์ทุกโครงการในเครือ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการก่อสร้างที่ดีเยี่ยม

อ่านข่าวต้นฉบับ: อสังหาฯชวนซื้อคอนโดฯให้แม่ อิงแคมเปญ “กตัญญูมาร์เก็ตติ้ง” Q3/67

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1627515/feed 0
CP Land เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “เจมส์ จิรายุ” ร่วมเติมฝัน “สุขจริงทุกจินตนาการ” https://www.prachachat.net/property/news-1627877 https://www.prachachat.net/property/news-1627877#respond Sat, 10 Aug 2024 12:29:14 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1627877 CP Land-บมจ.ซี.พี. แลนด์ ดึง ‘เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข’ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: CP Land เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “เจมส์ จิรายุ” ร่วมเติมฝัน “สุขจริงทุกจินตนาการ”

]]>
CP Land-บมจ.ซี.พี. แลนด์ ดึง ‘เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข’ นักแสดงชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ‘สุขจริง ทุกจินตนาการ’ ในบทบาท Dream Observer ผู้สังเกตการณ์สานฝัน รับชมพร้อมกันทั่วประเทศทุกช่องทางออนไลน์ของ CP Land YouTube Facebook Instagram TikTok และ X ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

วันที่ 10 สิงหาคม 2567 นางศศินันท์ ออลแมนด์ กรรมการยุทธศาสตร์ฝ่ายบริหารการตลาดและการสื่อสารองค์กร บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า CP Land เดินหน้าสยายปีกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และความแข็งแกร่งด้านแบรนด์ดิ้ง

ล่าสุด ได้ดึงเจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข ศิลปินนักแสดงและนายแบบชื่อดัง ที่มีผลงานมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทาง CP CP Land แสดงนำในภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุด ‘สุขจริง ทุกจินตนาการ’ ในบทบาท Dream Observer หรือ ผู้สังเกตการณ์สานฝัน “สุขจริง ทุกจินตนาการ”ของ CP Land

โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้มีแนวคิด ปั้นฝัน เป็นจริง ที่ได้ยกขบวนเด็กๆ วัยไร้เดียงสากำลังน่ารัก มาช่วยกันปั้นบ้านตามความคิด จินตนาการ และความฝัน โดยไม่มีสคริปท์ ถ่ายทอดผ่านการปั้นดินน้ำมันอย่างอิสระ โดยเน้นเค้นความคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการที่มีผู้รับฟังอย่างพี่เจมส์ จิรายุ ในบทบาท Dream Observer ของ CP LAND ที่ช่วยรังสรรค์ จินตนาการและความฝัน

โดย CP Land เรารับฟัง และ ใส่ใจ พัฒนาพื้นที่แห่งความสุข สร้างฝันเป็นจริงในอนาคตต่อไป เพราะแนวทางของ CP Land คือการมุ่งมั่น ผลักดัน และ สานต่อ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ให้ตอบโจทย์ความต้องการไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า โดยคำนึงถึงพื้นที่ส่วนรวมและชุมชนโดยรอบ สอดคล้องกับแนวคิด คุณภาพเพื่อทุกชีวิต หรือ Accessible Communities For Life

สำหรับเหตุผลของการเลือก เจมส์ จิรายุ เกิดขึ้นจากความเป็นคนที่มีบุคลิกคิดบวก เป็นคนรุ่นใหม่ทันสมัยภาพลักษณ์ดี มีรสนิยม จิตใจดี ชอบช่วยเหลือสังคม มีความน่าเชื่อถือ เข้าถึงง่ายและมีความเป็นกันเอง สามารถเข้าถึงคนได้ทุกเจนเนเรชั่น ซึ่งตรงกับภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ CP LAND ที่เกิดขึ้นในวันนี้

ทั้งนี้ ปี 2567 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ CP LAND อย่างต่อเนื่อง จากการมีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ตั้งแต่ระดับพรีเมียม จนถึง ระดับลักเซอรี

สำหรับโครงการที่เปิดตัวไปแล้ว ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรีบนทำเลศักยภาพ ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช ภายใต้ชื่อ LUXRIVA RESIDENCES (ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส) นครศรีธรรมราช, คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองขอนแก่น โดยคอนโดมิเนียม Low-Rise เอาใจคนรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ SOū& (โซ-แอนด์) ขอนแก่น และคอนโดมิเนียม High-Rise ระดับพรีเมียม ภายใต้ชื่อ RI-NÉ (รี-เน่) ขอนแก่น เตรียมเปิดจองเร็วๆนี้

และยังมีบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ใหม่ SŌLVANI (โซลวานี) ที่พิษณุโลก และนครสวรรค์ ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวในปลายปีนี้ โดยทุกโครงการใหม่ รับประกันโครงสร้างบ้าน 10 ปี ครอบคลุมทั้งเรื่องโครงสร้างอาคาร การรั่วซึมของหลังคา การรั่วซึมของระบบท่อและไฟฟ้า การใช้งานของประตูและหน้าต่าง

ดังนั้น แผนการสื่อสารของ CP Land ในปีนี้ จึงมุ่งเน้นสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าทุกระดับ และทุกเจเนอเรชัน ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของ CP Land ทั้งเรื่องคุณภาพ และดีไซน์ของโปรดักต์ การเลือกใช้วัสดุคุณภาพที่มีการนำความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ มาพัฒนาโปรดักต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย พร้อมทั้งในแง่การพัฒนาภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ทันสมัย มีความพรีเมียมมากขึ้น ภายใต้ราคาทีคุ้มค่า

อ่านข่าวต้นฉบับ: CP Land เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “เจมส์ จิรายุ” ร่วมเติมฝัน “สุขจริงทุกจินตนาการ”

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1627877/feed 0
นับถอยหลัง “วัน แบงค็อก” อภิโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส เมืองกลางใจ เมืองที่ใช้ใจสร้าง https://www.prachachat.net/property/news-1627435 https://www.prachachat.net/property/news-1627435#respond Sat, 10 Aug 2024 09:21:41 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1627435 ได้เวลานับถอยหลังโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสที่มีมูลค่าการพัฒนาสู […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: นับถอยหลัง “วัน แบงค็อก” อภิโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส เมืองกลางใจ เมืองที่ใช้ใจสร้าง

]]>
ได้เวลานับถอยหลังโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท “วัน แบงค็อก”

ปักหมุดโครงการบนผืนดินแปลงใหญ่ผืนสุดท้ายใจกลางเมือง บริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระรามที่ 4 จึงเป็นที่มาของการชูแนวคิด “The Heart of Bangkok-เมืองกลางใจ ที่ใช้ใจสร้าง” เพื่อผลักดันมหานครกรุงเทพให้ก้าวสู่การเป็น “The New Influential Global City” ที่จะยกระดับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ยกระดับภาพลักษณ์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก

เมืองที่ใช้ใจสร้างทุกตารางนิ้ว

ทั้งนี้ วัน แบงค็อก พัฒนาโดยกลุ่ม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (FPL) ซึ่งมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใน 22 ประเทศทั่วโลก โดย “ปณต สิริวัฒนภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท FPL ระบุว่า จากประสบการณ์มากกว่า 30 ปีของกลุ่มบริษัท FPL ที่ได้ลงทุนมาแล้วทั่วโลก เราจึงได้นำความรู้และความเชี่ยวชาญทั้งหมด มาพัฒนาโครงการวัน แบงค็อก เมืองอัจฉริยะต้นแบบเพื่อความยั่งยืน บนพื้นที่ 108 ไร่

โดยวัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ต้นแบบกรีนสมาร์ทซิตี้ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นำเสนอวิสัยทัศน์การสร้างสรรค์สถานที่ที่ผู้คนจะตกหลุมรัก และอยากมาใช้เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ในที่แห่งนี้ ที่ทำให้ทุกคนในกรุงเทพฯ รู้สึกว่าที่นี่คือส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของกรุงเทพฯ

ในอนาคตอันใกล้เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะกลายเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก ที่ยกระดับภาพลักษณ์ที่ดีงามของกรุงเทพฯ และประเทศไทยให้โดดเด่นเป็นสง่าบนเวทีโลก เป็น The Heart of Bangkok เมืองกลางใจ ที่ใช้ใจสร้างทุกตารางนิ้ว

“เป็นความตั้งใจของเราที่อยากมองว่า จากนี้ต่อไป เราอยากจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเราได้สร้างโครงการนี้จากใจ และทำให้วัน แบงค็อก เป็นเมืองกลางใจทุกคน รูปแบบเราได้จุดยืนว่า เราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อความยิ่งใหญ่หรือเพราะสเกล แต่เพราะพื้นที่นี้จะอยู่กับเมือง คนจะอยากมาใช้ คนจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างที่เราเห็น”

ออฟฟิศระดับพรีเมี่ยม 5 อาคาร

สำหรับมาสเตอร์แพลน วัน แบงค็อก ประกอบด้วยอาคารสำนักงานแบบพรีเมี่ยม จำนวน 5 อาคาร โรงแรมระดับลักเซอรี่และไลฟ์สไตล์ 5 แห่ง คอนโดมิเนียมระดับลักเซอรี่อีก 3 อาคาร

ในส่วนของออฟฟิศบิลดิ้งระดับพรีเมี่ยม จำนวน 5 อาคาร มีพื้นที่เช่าสุทธิรวมไม่ต่ำกว่า 500,000 ตารางเมตร ตัวโครงการออกแบบให้มีทางเข้าออกรอบโครงการ 6 จุด ความพิเศษอยู่ที่ทางเชื่อมตัดตรงเข้าสู่ทางด่วน ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทย เมื่อเปิดใช้จริงจะเป็นตัวช่วยบรรเทาปัญหาจราจรบริเวณรอบโครงการได้เป็นอย่างดี

โดยออฟฟิศทั้ง 5 อาคาร ตอบโจทย์ทุกความต้องการหลากหลายของผู้ใช้อาคาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับทุกมิติของการใช้ชีวิต ทั้งการทำงานและพักผ่อน (Live, Work, Shop, Stay) ภายในโครงการ มีพื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว 50 ไร่ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของโครงการ

การออกแบบและก่อสร้างรวมถึงนำเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะล้ำสมัย เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบอาคาร ไม่ว่าจะเป็นกระจกฉนวนกันความร้อนหรือกระจกอินซูเลต สามารถกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ 75% สามารถปกป้องอาคารจากสภาวะอากาศร้อนในเมืองไทย

ทั้งยังมีการติดตั้งระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง สามารถดึงอากาศจากภายนอกเข้าสู่อาคารสูงกว่ามาตรฐานสากล 30% โดยนำมาผ่านแผ่นกรองอากาศระดับพรีเมี่ยมพร้อมฉายรังสียูวีฆ่าเชื้อโรค เพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์และสะอาดหมุนเวียนในอาคารมากขึ้น

ออฟฟิศบิลดิ้งในวัน แบงค็อก ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐาน WiredScore Platinum และ SmartScore Platinum ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของ WiredScore โดยมี District Command Center-ศูนย์ควบคุมการสั่งการขนาดใหญ่และครบวงจร เพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ รวมถึงความปลอดภัยแบบเรียลไทม์

รวมทั้งมีซูเปอร์แอปพลิเคชั่นที่รวมเอาหลากหลายบริการเข้าไว้ด้วยกัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของผู้ใช้อาคารอย่างครบครัน เช่น การเข้าออกอาคาร การสำรองที่จอดรถ ระบบค้นหาตำแหน่งรถ (Find My Car) ระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

วัน แบงค็อก รีเทล 1.6 แสน ตร.ม.

หนึ่งในไฮไลต์ของวัน แบงค็อก อยู่ที่นำเสนอองค์ประกอบสำคัญที่จะเป็นหัวใจหลัก และเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับโครงการ คือ One Bangkok Retail จุดหมายปลายทางของการช็อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของกรุงเทพฯ ภายใต้วิสัยทัศน์ Rewriting Retail from the Heart Reshaping Community with Style While Celebrating Life สร้างนิยามใหม่แห่งโลกรีเทล ในการใช้ใจสร้าง เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัสจังหวะแห่งความสุข และประสบการณ์พิเศษร่วมกัน

นำเสนอภายใต้ความคิด The Thythmic Experience จุดนัดพบกลางใจเมืองที่ทุกคนสามารถเข้ามาสร้างจังหวะแห่งความสุข และประสบการณ์พิเศษร่วมกันอย่างเหนือความคาดหมาย”

เบ็ดเสร็จโซน One Bangkok Retail มีพื้นที่เช่าสุทธิ 160,000 ตร.ม. มีการสร้างรีเทลคอนเซ็ปต์ที่มีความแตกต่างกันถึง 3 โซน ได้แก่ 1.Interconnected 3 Retail Experiences 2.Unique Retail Concepts และ 3.Enchanted Moments with Heart-Centric Experiences รายละเอียดดังนี้

1.Interconnected 3 Retail Experiences นำเสนอ 3 ประสบการณ์ ด้วยคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างและมีดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่สามารถเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร้รอยต่อ ได้แก่

“โซน Parade” อาคารรีเทลขนาด 9 ชั้น พื้นที่ใหญ่ที่สุด 85,000 ตร.ม. อยู่ฝั่งถนนพระรามที่ 4 ด้านหน้ามีลิเนียร์ปาร์ก สวนสีเขียวความกว้าง 45 เมตรจากริมถนน พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “A World of Choice without Limits” นำเสนอสีสันแห่งชีวิตอันไร้ขีดจำกัด Gather-Shop-Play-Work-Eat ไฮไลต์หลัก ๆ จะอยู่อาคารนี้ทั้งหมด อาทิ ไฮสตรีตแฟชั่นหรือฟาสต์แฟชั่น มี Affordable Dining 3 ฟลอร์ รวมถึงบุ๊กสโตร์ที่จะเป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดขึ้นที่วัน แบงค็อกเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีคอนเซ็ปต์สำคัญในเรื่องดิวตี้ฟรี ด้วยพื้นที่ 5,000 ตร.ม. และเอ็นเตอร์เทนเมนต์เซ็นเตอร์ ซึ่งวัน แบงค็อก ถือเป็นพื้นที่แรกที่มีอินดอร์เพลย์แอเรียในศูนย์การค้า

ถัดมา “โซน The Storeys” นำเสนอคอนเซ็ปต์ “Tell Your own Story at the Storeys” แพลตฟอร์มแห่งความคิดสร้างสรรค์ จุดบรรจบของเทรนด์โลกใหม่ ๆ บนพื้นที่เช่ารวม 5 ชั้น 35,000 ตร.ม. พบร้านค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ที่มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ ผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่นร่วมสมัย และคอนเซ็ปต์สโตร์สุดฮิป รวมทั้งยังมีร้านอาหาร บาร์แอนด์บิสโทร และแหล่งแฮงเอาต์ยามค่ำคืน

“โซน POST 1928” นำเสนอคอนเซ็ปต์ “Go Beyond Luxury” ก้าวข้ามนิยามความเป็นลักเซอรี่ไปอีกขั้น ด้วยประสบการณ์ช็อปปิ้งสุดล้ำกว่าที่เคย บนพื้นที่เช่า 5 ชั้น 40,000 ตร.ม. พบกับถนนช็อปปิ้ง (Shopping Street) สายแรกของกรุงเทพฯ ที่รวบรวมร้านค้าแฟลกชิปสโตร์แบรนด์ดังระดับโลกมากมาย ในรูปแบบสแตนด์อะโลน ตลอด 2 ฝั่งถนน ตั้งแต่ซูเปอร์แบรนด์แฟชั่น วอตช์ แอนด์ จิวเวลรี่ ตลอดจนแบรนด์สตรีตแวร์สุดพรีเมี่ยม

4 คอนเซ็ปต์เอกสิทธิ์ที่วัน แบงค็อก

2.Unique Retail Concepts นำเสนอรูปแบบการช็อปปิ้งที่แตกต่าง ด้วยรีเทลคอนเซ็ปต์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็น “Made in One Bangkok” นำเสนอประสบการณ์หนึ่งเดียวในโลกที่รังสรรค์ขึ้นมาเฉพาะที่วัน แบงค็อกเท่านั้น ประกอบด้วย

“Sarapad Thai” สัมผัสความเป็นไทยในรูปแบบที่ทันสมัยและอินเทรนด์ ด้วยสินค้าหลากหลายที่นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมความเป็นไทยอย่างครบครัน

“Bangkok Wonder at One Bangkok” ไดนิ่งเดสติเนชั่นแห่งใหม่ใจกลางกรุง ให้คุณได้เลือกสรรอาหารหลากหลายได้ตลอดทั้งวัน พร้อมโซนแฮงเอาต์หลังเลิกงาน ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวกึ่งกลางแจ้งและพื้นที่พักผ่อนที่ผสมผสานความทันสมัยได้อย่างลงตัว

“ONE Content Store” ร้านหนังสือคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรก พร้อมสินค้าไลฟ์สไตล์ แหล่งเช็กอินแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ

“Chang Canvas” พื้นที่แห่งนี้พร้อมให้คุณเฉลิมฉลองช่วงเวลาพิเศษ และค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ในทุก ๆ โซนมีการเชื่อมต่อและคอนเน็กต์กันทุกคอมโพเนนต์ รวมเป็น 3 ลูปสำคัญ คือ รีเทลลูป-ฟู้ดลูป-อาร์ตลูป โดยรีเทลลูป มีร้านค้ามากกว่า 900 ร้านค้า ยังมีฟู้ดลูป ความยาว 1.5 กิโลเมตร สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกัน มีมากกว่า 250 ร้านให้เลือก และอาร์ตลูป โซนสำคัญและขาดไม่ได้สำหรับวัน แบงค็อก เพื่อให้ทุกคนได้รับแรงบันดาลใจกลับไปด้วย จัดแสดงผลงานของศิลปินไทยและต่างชาติ”

ความพิเศษทั้งหมดทั้งมวลนี้ อดใจอีกไม่นานเกินรอ มีกำหนดเปิดบริการในไตรมาส 4/67 นี้

อ่านข่าวต้นฉบับ: นับถอยหลัง “วัน แบงค็อก” อภิโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส เมืองกลางใจ เมืองที่ใช้ใจสร้าง

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1627435/feed 0
MQDC ผนึก CEO Chula จัดแข่งขัน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan” https://www.prachachat.net/property/news-1627363 https://www.prachachat.net/property/news-1627363#respond Fri, 09 Aug 2024 09:56:59 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1627363 Whizdom Craftz Samyan by MQDC ร่วมกับ CEO Chula (Chulal […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: MQDC ผนึก CEO Chula จัดแข่งขัน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan”

]]>
Whizdom Craftz Samyan by MQDC ร่วมกับ CEO Chula (Chulalongkorn Entrepreneur Organization) จัดการแข่งขัน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan” การแข่งขันที่ส่งเสริมเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในธุรกิจ SMEs และใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ ได้ร่วมพัฒนาทักษะและองค์ความรู้จากเหล่า Stakeholders ที่เป็นเจ้าของธุรกิจตัวจริงกว่า 40 แบรนด์

วันที่ 9 สิงหาคม 2567 ดร.วิทยา สินทราพรรณทร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดโครงการ MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) บริษัทผู้พัฒนาคอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน”

กล่าวว่า วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน มั่นใจว่าการร่วมมือกับ CEO Chula ในการจัดการแข่งขัน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan” เพื่อสรรหานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีความสนใจที่จะเริ่มพัฒนาธุรกิจเป็นของตัวเองได้มีสนามแข่งขัน

ตลอดจนได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจให้เกิดขึ้นได้จริงจาก Stakeholders ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ นับว่าเป็นกิจกรรมที่มีความ “คราฟท์” ตรงกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์ รวมทั้งสอดคล้องกับพันธกิจในการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมของ MQDC ที่สนับสนุนกิจกรรมการแบ่งปันองค์ความรู้ เพื่อร่วมสร้างสรรค์ “สังคมของคนเก่งและคนดี” ควบคู่กัน

“ในโอกาสที่วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการอยู่อาศัยใช้ชีวิตใน Community ย่านสามย่าน-พระราม 4-บรรทัดทอง-เยาวราชด้วยนั้น เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดงานนี้

เราเห็นว่าโครงการ “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan” เป็นโครงการที่ดีและน่าสนใจ เราจึงเข้าไปมีส่วนร่วม และสนับสนุนงานนี้เพื่อเป็นเวทีให้นิสิตได้แสดงออกทางความคิดและความสามารถในการพัฒนาโมเดลธุรกิจต่าง ๆ ในขณะที่กำลังศึกษาอยู่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะจบการศึกษาและเข้าสู่โลกธุรกิจจริง

ซึ่งการแข่งขันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวนิสิตที่จะได้รับโอกาสในการคิดวางแผนต่อยอดในโลกธุรกิจ หรือนำเอาประสบการณ์ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งเรามั่นใจอย่างยิ่งว่านิสิตที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้นิสิตเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าในการช่วยพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต” ดร.วิทยากล่าว

นายรัญชน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ประธาน CEO Chula กล่าวว่า การจัดการแข่งขันสรรหานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีไอเดียและความตั้งใจที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเองในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 5

โดยงาน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan” นี้มีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มโอกาสให้กับนิสิตจุฬาฯ ได้มีโอกาสเริ่มธุรกิจ SMEs (Small and Medium Enterprises) ด้วยตนเอง โดย SMEs เป็นธุรกิจที่มีความสำคัญ เป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจประเทศไทย มีบทบาทต่อการเติบโตและยังเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกด้วย

สำหรับการแข่งขันในปีนี้ CEO Chula มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนนิสิตจุฬาฯ จากทุกคณะและชั้นปี ที่มีความสนใจด้านธุรกิจ และมีความตั้งใจอยากเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง โดยคณะผู้จัด พร้อมที่จะสรรค์สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร เต็มไปด้วยความรู้ และความสนุกสนานให้แก่ผู้เข้าแข่งขันทุกคน

โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับองค์ความรู้และประสบการณ์จริงในการสร้างธุรกิจด้วยตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นผ่าน Event ต่าง ๆ และได้รับคำปรึกษาจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจผ่าน Consulting Session ไปจนถึงการแข่งขันในรอบสุดท้ายหรือ Final Pitch ที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะได้นำผลงานตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนมานำเสนอแก่คณะกรรมการผู้ทรงเกียรติ และแขกผู้มาร่วมงานอีกมากมาย

ซึ่งตลอดระยะการแข่งขันที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2567 จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับความรู้จาก Stakeholders เจ้าของธุรกิจชื่อดังกว่า 40 แบรนด์ ที่จะมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษา และคำแนะนำด้านธุรกิจแก่ผู้เข้าแข่งขันทุกทีม

นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันทุกทีมจะได้มีโอกาสนำสินค้าของตนไปทดลองขายจริง ในงาน CEO Festival ที่นับได้ว่าเป็นเทศกาลดนตรีและอาหารที่ประสบความสำเร็จที่สุดงานหนึ่งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากยอดผู้เข้าร่วมกว่า 8,000 คนในปีที่ผ่านมา

“ผมและทีม CEO Chula คณะผู้จัดงานทั้ง 45 ท่าน รู้สึกขอบคุณทุกองค์กรที่ให้ความสนใจในกิจกรรมของเรา พวกเราเชื่อมั่นว่างานในปีนี้จะสร้างความตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่มีความสนใจในการทำธุรกิจ ไม่เพียงแค่นิสิตจุฬาฯเท่านั้น พวกเราคาดหวังผลสำเร็จที่ทรงพลังมากขึ้นทุกปี

หวังว่างานของเราจะจุดประกายให้ทุกคนที่สนใจ ได้เริ่มทำธุรกิจอย่างมีความรู้ มีหลักการ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น เพื่อที่จะสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้น และพวกเราดีใจที่สุด ที่ได้รับโอกาสได้เรียนรู้ และแบ่งปันเรื่องราวดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดการแข่งขันนี้กับทุกคนครับ” นายรัญชน์กล่าว

นายชนวีร์ หอมเตย CEO Shinkanzen Sushi และนายวริศ บูลกุล CEO & Co-Founder Acai Story ตัวแทนคณะที่ปรึกษาการจัดการแข่งขัน (Stakeholder) กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน “Beat the Biz 2024” ว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดคือพัฒนาการของงานที่เติบโตก้าวหน้าและน่าสนใจมากขึ้นทุกปี

โดย 4 ปีที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสเข้ามาช่วยทำงานกับน้อง ๆ นิสิตจุฬาฯ พบว่าจุดเด่นของโครงการนี้คือผลงานการแข่งขันที่เป็นรูปธรรม เราหวังว่านิสิตที่เข้าร่วมโครงการจะได้พัฒนาแนวคิดในการทำธุรกิจ SMEs และมีแนวทางในการพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแรงในระดับประเทศ จนเป็นที่รู้จักของภาคธุรกิจ เพราะมีหลายเคสมีเรื่องราวของการเดินทางของแบรนด์ ตั้งแต่วันแรกที่น่าสนใจและน่าติดตาม สามารถที่จะต่อยอดขยายผล

ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เก็บเกี่ยวสะสมองค์ความรู้ที่หลากหลาย จนสามารถจะแบ่งปันสู่สังคมในวงกว้าง สร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้กับคนรุ่นต่อมาและผู้ที่สนใจอยากจะทำธุรกิจด้วยตนเอง

อ่านข่าวต้นฉบับ: MQDC ผนึก CEO Chula จัดแข่งขัน “Beat the Biz 2024 by Whizdom Craftz Samyan”

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1627363/feed 0
SENA มอบแล้ว คอนโดฯ 2.5 ล้านให้ “วิว-กุลวุฒิ” ฮีโร่โอลิมปิก https://www.prachachat.net/property/news-1627251 https://www.prachachat.net/property/news-1627251#respond Fri, 09 Aug 2024 09:19:41 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1627251 เสนาดีเวลลอปเม้นท์ แสดงความยินดี ‘วิว กุลวุฒิ’ ฮีโร่เหร […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: SENA มอบแล้ว คอนโดฯ 2.5 ล้านให้ “วิว-กุลวุฒิ” ฮีโร่โอลิมปิก

]]>
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ แสดงความยินดี ‘วิว กุลวุฒิ’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก พร้อมมอบคอนโดฯ เฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ 1 ห้อง มูลค่า 2.5 ล้านบาท

วันที่ 9 สิงหาคม 2567 ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี กับ ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก แบดมินตันชายเดี่ยว พร้อมมอบคอนโดมิเนียม เฟล็กซี่ (Flexi) รัตนาธิเบศร์ จำนวน 1 ห้อง มูลค่า 2.5 ล้านบาท เพื่อเป็นกำลังใจและขอบคุณที่นำพาชื่อเสียงและความสุขมาสู่คนไทย และยังเป็นเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของวงการแบดมินตันไทย โดยได้รับเกียรติจาก นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นสักขีพยาน ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวานนี้

ท้้งนี้ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ มอบคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ โครงการเฟล็กซี่ (Flexi) รัตนาธิเบศร์ จำนวน 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยภายใน 34.98 ตร.ม. มูลค่า 2.505 ล้านบาท

ลายละเอียด เป็นคอนโดฯ High Rise สูง 36 ชั้น พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทันสมัยและเดินทางสะดวกสบาย ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางกระสอ เพียง 200 เมตร

โดยโครงการพัฒนาบนแนวคิดคอนโดฯ Low-Carbon ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบ Decarbonized Lifestyle เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนพร้อมรักษ์โลกง่าย ๆ เช่น Solar Rooftop การนำพลังงานสะอาดมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง

บริการ V Move หรือ Shuttle service รับ-ส่งลูกบ้านที่จุดขนส่งสาธารณะเพื่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ รวมถึงมีการจัดพื้นที่สำหรับ EV Charger Station ในพื้นที่จอดรถ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

อ่านข่าวต้นฉบับ: SENA มอบแล้ว คอนโดฯ 2.5 ล้านให้ “วิว-กุลวุฒิ” ฮีโร่โอลิมปิก

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1627251/feed 0
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ มอบคอนโดให้ ‘วิว กุลวุฒิ’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก https://www.prachachat.net/property/news-1625757 https://www.prachachat.net/property/news-1625757#respond Thu, 08 Aug 2024 04:10:12 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1625757 เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมแสดงความยินดีกับ ‘วิว-กุลวุฒิ วิ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: เสนาดีเวลลอปเม้นท์ มอบคอนโดให้ ‘วิว กุลวุฒิ’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก

]]>
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมแสดงความยินดีกับ ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก มอบทันที คอนโดเฟล็กซี่ (Flexi) รัตนาธิเบศร์ พร้อมขอบคุณที่นำพาชื่อเสียงและความสุขมาสู่คนไทย หลังสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญเงินโอลิมปิก แบดมินตันชายเดี่ยว และเป็นเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของวงการแบดมินตันไทย ในรอบ 32 ปี

วันที่ 8 สิงหาคม 2567 ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากที่คุณพ่อ – คุณธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ประธานกรรมการบริหาร ได้แจ้งผ่านทาง ท่านเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าจะมอบคอนโดเสนาโครงการเฟล็กซี่ (flexi) รัตนาธิเบศร์ จำนวน 1 ห้อง โดยไม่มีเงื่อนไขให้กับ วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นั้น

เป็นการตัดสินใจของท่าน ที่เราก็คิดเหมือนกันในการส่งเสริมและสนับสนุนคนที่มีความตั้งใจ และมีความพยายาม ตามสิ่งที่น้องวิวเคยให้สัมภาษณ์ไว้ คือ “ไม่สูงต้องเขย่ง ไม่เก่งต้องขยัน” ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่นชม ในความพยายามไม่ย่อท้อ ต่อสู้จนประสบความสำเร็จ

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์

“เสนาจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน และให้กำลังใจในความพากเพียรพยายาม จนประสบความสำเร็จในวันนี้ ซึ่งน้องวิว-กุลวุฒิ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ในการตั้งใจฝึกซ้อมและทำหน้าที่เพื่อชาติอย่างเต็มที่

ต้องขอขอบคุณในความทุ่มเทของ ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ โค้ช ครอบครัว และทีมงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนักกีฬาทุกคน ที่นำพาชื่อเสียงและความสุขมาสู่คนไทย

โดยทางเสนาจึงมีความยินดีและภูมิใจที่ได้มอบคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ โครงการเฟล็กซี่ (Flexi) รัตนาธิเบศร์ จำนวน 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยภายใน 34.98 ตร.ม. มูลค่า 2.505 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโด High Rise สูง 36 ชั้น พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทันสมัยและเดินทางสะดวกสบาย ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางกระสอ เพียง 200 เมตร

“นอกจากนี้ โครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่สันทนาการครบครัน ช่วยให้น้องวิวสามารถพักผ่อนหลังการฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่” ดร.เกษรากล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับ: เสนาดีเวลลอปเม้นท์ มอบคอนโดให้ ‘วิว กุลวุฒิ’ ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1625757/feed 0
ปลุกทีมไทยแลนด์ “รัฐ+เอกชน” ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมมุ่งโตยั่งยืน https://www.prachachat.net/property/news-1623823 https://www.prachachat.net/property/news-1623823#respond Thu, 08 Aug 2024 03:05:44 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1623823 เปิดศักราชไตรมาส 3/67 หลังจากผ่านความบอบช้ำจากอำนาจซื้อ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ปลุกทีมไทยแลนด์ “รัฐ+เอกชน” ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมมุ่งโตยั่งยืน

]]>
เปิดศักราชไตรมาส 3/67 หลังจากผ่านความบอบช้ำจากอำนาจซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผลประกอบการของธุรกิจห้างร้านที่ถดถอยแบบกู่ไม่กลับต่อเนื่องยาวนาน ล่าสุด ผู้บริหารระดับประเทศและเป็นหนึ่งในทำเนียบเจ้าสัวธุรกิจเมืองไทย “ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) นำเสนอบทความเรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน” มีสาระสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้

ถึงจุดเปลี่ยน “ประชากรศาสตร์”

ประเทศไทย หลาย ๆ คนบอกมองไม่เห็นอนาคต

ประเทศไทย กำลังถอยหลังเข้าคลอง

บางคนบอกว่า ไทย เป็นสังคมจมปลัก เศรษฐกิจเคยเติบโตเกิน 5% ต่อปี เดี๋ยวนี้เหลือประมาณ 2%

จำนวนประชากรไทยเริ่มทรงตัวและค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง

จากสถิติของกระทรวงมหาดไทย พบว่า ณ สิ้นปี 2566 ประชากรไทยมีทั้งสิ้น 66.05 ล้านคน เป็นคนสัญชาติไทย 65.06 ล้านคน และเป็นต่างชาติ ประมาณ 990,000 คน คิดเป็น 1.5% ของประชากรทั้งหมด

จากการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าประชากรไทยอาจจะลดลงเหลือ 33 ล้านคน ในอีก 60 ปีข้างหน้า

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ละครอบครัวจะมีลูก 2-3 คน เดี๋ยวนี้ครอบครัวไทยทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ มีลูกเพียง 1 หรือไม่มีเลย โดยคนที่ไม่มีลูกหันไปเลี้ยงหมาหรือแมวแทน

เหตุผลสำคัญที่คนไทยยุคใหม่มีลูกน้อยลงนั้น หลัก ๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจ ที่รายได้เพิ่มไม่ทันรายจ่าย ตามมาด้วยเรื่องเวลาการเดินทางไป-กลับที่ทำงาน ที่ใช้เวลามากขึ้น การแยกครอบครัวจากพ่อแม่ทำให้ไม่มีคนช่วยเลี้ยงลูก และอุปนิสัยที่หนุ่มสาวให้ความสนใจ คือ ความอิสระเสรี การท่องเที่ยว และบันเทิงเพิ่มขึ้น

ถึงแม้คนไทยจะมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น แต่คนเกิดใหม่ลดลงมากกว่า จึงทำให้ประชากรคนไทยโดยรวมลดลง สังคมไทยจึงกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมสูงวัย และประชากรไทยที่ทำงานมีจำนวนลดลง อีกทั้งต้องแบกรับภาระเสียภาษีเพื่อเลี้ยงคนชราเพิ่มขึ้น ๆ

ไทยอยู่อันดับ 4 ในอาเซียน

หลาย ๆ คนบอกว่า เราก้าวไม่ทันโลกในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ การศึกษาไทยมีความล้าหลังมาก ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล

หลาย ๆ คนบอกว่า ประเทศไทยไม่ใหญ่พอที่จะเอื้อให้อุตสาหกรรมมีความได้เปรียบในเชิงปริมาณ (Economy of Scale) อย่างจีน ที่จะผลิตสินค้าจำนวนมาก ๆ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงมากได้

จำนวนประชากรไทย เป็นเพียงอันดับ 4 ในอาเซียน ตามหลังอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งมีจำนวน 275.5, 115.6 และ 98.2 ล้านคน ตามลำดับ

หลาย ๆ คนบอกว่า คนไทย ชอบความสนุกสนานบันเทิง ไม่ขยัน ไม่อดทน ไม่มีระเบียบวินัย ไม่ชอบเรียนรู้หรือพัฒนาตนเองเหมือนอย่างคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือเวียดนาม..

หลาย ๆ คนบอกว่า เมืองไทยมีปัญหาซึ่งเป็นหนามยอกอกของประเทศ คือ โกง ทุจริต คอร์รัปชั่น นิยมเส้นสาย เล่นพรรคเล่นพวก อยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง คุณธรรมความถูกต้อง และไม่ได้ยึดผลประโยชน์ของประเทศหรือส่วนรวมเป็นหลัก

คนชี้บอกปัญหาของประเทศมีพอสมควร แต่คนที่ช่วยชี้บอกแนวทางวิธีการป้องกันแก้ไขมีไม่มาก

พึ่งแรงงานต่างด้าวทุกระดับ

เริ่มจากเรื่องการขาดแคลนประชากร วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การนำเข้า หรือ Import เราขาดแคลนแรงงาน เราก็นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว เขมร.. ส่วนคนที่เก่งและขยัน โดยเฉพาะคนที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยียุคใหม่ ซึ่งเราขาดแคลน ผลิตได้น้อย อีกทั้งระบบการศึกษาเราก็ไม่เอื้อที่จะทำได้ในเวลาสั้น ๆ

การสร้างมาตรการจูงใจ ส่งเสริมให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานและอยู่อาศัย จึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทุกประเทศไม่ว่าใหญ่หรือเล็กก็พยายามทำอยู่ ตัวอย่างประเทศใกล้เคียงที่ทำอยู่ เช่น สิงคโปร์ ที่มีมาตรการส่งเสริมจูงใจต่าง ๆ ให้เข้าไปอยู่อาศัย และทำงานเพื่อช่วยเสริมสร้างนำพาประเทศก้าวหน้าไปสู่โลกแห่งอนาคต..

ส่วนประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐ สหราชอาณาจักร..ได้เปรียบที่มีอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน ที่เอื้อให้คนเก่งย้ายเข้าไปทำงานได้เป็นจำนวนมาก

ประเทศไทย ไม่ได้มีตลาดแรงงานที่จะรับคนไฮเทคมากมายก็จริง แต่เดี๋ยวนี้ คนทำงาน Online กันมากขึ้น ทำให้เกิด Digital Nomad จำนวนมาก ที่หาที่อยู่ที่ตัวเองชอบหรือที่ที่มีสิทธิพิเศษที่จูงใจ ที่จะอยู่อาศัยหรือลงหลักปักฐานในประเทศไทย รวมทั้งผู้ประกอบการแขนงต่าง ๆ

คนเก่งและคนขยันเหล่านี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีขั้นสูงแล้ว ยังช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปสู่อนาคต และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่หนุ่มสาวคนไทยที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเองอีกด้วย

ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว

ประเทศไทยเราเน้นที่จะส่งเสริมการลงทุนที่นำเงินลงทุนเข้าประเทศและสร้างงานให้แก่คนไทยจำนวนมาก แต่เรายังไม่ได้เน้นการส่งเสริมที่มากพอ เพื่อจูงใจให้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ หรือคนเก่งคนขยันเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย

คนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย ถึงแม้เราจะมีมาตรการจูงใจ ให้สิทธิพิเศษ ลดหย่อนภาษี.. แต่คนที่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย แต่ละคนก็จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล การเดินทางท่องเที่ยว บันเทิง.. ทำให้เราได้มากกว่าส่วนลดภาษีหรือสิทธิพิเศษที่เราลดหย่อนให้เขา

การที่ชาวต่างชาติมาทำงาน ผู้ประกอบการแขนงต่าง ๆ รวมทั้งเศรษฐีนักลงทุน และผู้สูงวัยที่เกษียณแล้วเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย ถ้าเขาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยด้วย ประเทศไทยก็จะเปรียบเสมือนยิงนกทีเดียวได้ 3 ตัว

กล่าวคือ เราได้ทั้งรายได้จากการส่งออกที่อยู่อาศัย (โดยที่สินค้านั้นยังคงอยู่ในประเทศ ไม่หายไป) เราได้เงินลงทุน เพราะเขานำเงินเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และเราได้รายได้การท่องเที่ยวอย่างถาวร ดีกว่าที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะมาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าวไม่กี่วัน

ที่จริง ถ้าเราปรับกฎเกณฑ์เล็กน้อย เราก็จะได้ใจคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก เช่น เขาสามารถเลือกไปอยู่ในอเมริกา อังกฤษ หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งสามารถซื้อบ้านได้ง่าย ๆ ถ้าเราจะเอื้อให้เขาซื้อบ้านในโครงการจัดสรร เฉพาะในหัวเมือง 20 จังหวัด ที่เรากำหนดไม่เกินร้อยละ 49 ของนิติบุคคลบ้านจัดสรร

ส่วนการถือครองของชาวต่างชาติในอาคารชุด ปรับเกณฑ์จากไม่เกิน 49% เป็น 70% โดยส่วนที่เกิน 49% จะไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงนิติบุคคลอาคารชุด (Voting Right) เป็นต้น ก็จะเป็นมาตรการที่จูงใจคนเหล่านี้ว่าเราไม่ได้กีดกัน และพร้อมต้อนรับให้เขาเข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย

อนึ่ง การขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ จากไม่เกิน 30 ปี เป็นไม่เกิน 60 ปี ก็จะเหมาะสมและเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่ถือที่เกี่ยวข้อง

ดึงต่างชาติมั่งคั่ง 1.8 แสนคน

ล่าสุด เราประมาณการว่า ประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละ 2.52 ล้านล้านบาท ด้วยนักท่องเที่ยวประมาณ 36 ล้านคน หรือประมาณ 14 % ของรายได้ประเทศ (GDP) คือ 17.83 ล้านล้านบาท ถัวเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายคนละ 70,000 บาท

เราลองคิดดูว่า ถ้าประเทศไทยจะมีรายได้จากการที่ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวปีละ 2.52 ล้านล้านบาทต่อปี เราต้องหาคนเข้ามาอยู่อาศัย และซื้อที่อยู่อาศัย จำนวนกี่คน ?

ถ้าชาวต่างชาติใช้เงินซื้อที่อยู่อาศัยเฉลี่ยหน่วยละ 14 ล้านบาท จะเป็นจำนวนประมาณ 180,000 คนเท่านั้น หรือทุก ๆ คนที่ซื้อที่อยู่อาศัย จะเทียบเท่านักท่องเที่ยวถึง 200 คน ถ้าเรามีรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นถึง 2.52 ล้านล้านบาทต่อปี ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วลองคิดดูว่า รายได้ประเทศหรือ GDP จะเติบโตเกินร้อยละ 10 ต่อปี ไปเป็นเท่าไร ?

กำลังซื้อต่างชาติ 1 : 200

คนไทยไม่มีใครคัดค้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวช่วงสั้น เพราะทำให้เราได้เงินที่นักท่องเที่ยวนำมาใช้จ่ายในประเทศไทย แต่ถ้าได้ชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่ถาวร (1 คน) ซึ่งเทียบเท่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาชั่วคราวถึง 200 คน ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน

เรามักจะมีคนห่วงและท้วงติงว่า จะเป็นการขายชาติไหม ? คนที่ทักท้วงจะบอกว่า ขายที่ดินหรือขายบ้าน คือขายชาติ แล้วการแต่งงานกับชาวต่างชาติเข้าข่ายขายชาติหรือไม่ แต่ถ้าแต่งกับชาวต่างชาติช่วงสั้น ๆ ไม่กี่วัน ก็กลับจะไม่เป็นไร เช่นนั้นหรือ ?

นอกจากนี้ จำนวน 180,000 คน เทียบกับประชากร 66 ล้านคน จะประมาณ 0.27% ซึ่งน้อยมาก และถึงจะไปรวมกับชาวต่างชาติที่มีอยู่แล้ว 1.5% ก็ยังคงน้อยมากอยู่ดี

เราดูตัวอย่างชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยที่ผ่านมา พอผ่านไปยังรุ่นลูก ก็จะถูกประเพณีวัฒนธรรมไทยหล่อหลอมกลายเป็นคนไทยไป ทั้งยังช่วยเติมเต็มช่องว่าง หรือหลุมจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดต่ำลง อีกทั้งจะได้คนเก่งและขยันเข้ามาเสริมการพัฒนาประเทศให้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน

ดึงดูดด้วยกฎเกณฑ์ที่เป็นมิตร

เรามาลองดูว่าประเทศอื่น ๆ เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้าไปอยู่อาศัยในประเทศเขา จำนวนเท่าไหร่บ้าง เช่น

ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีชาวต่างชาติถึง 8.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 88.1% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 9.44 ล้านคน

ปัจจุบันเป็นประเทศที่ชักชวนจูงใจให้เศรษฐีต่าง ๆ จากทั่วโลกเข้าไป ลงทุนและซื้อที่อยู่อาศัยได้มากที่สุดในโลก ทั้งที่อากาศร้อนและแห้งแล้งกว่าไทยมาก แต่คนเลือกไปอยู่เพราะว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัย และมีกฎเกณฑ์ที่เป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ

ประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) มีชาวต่างชาติ 10.4 ล้านคน คิดเป็น 15.52% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 66.97 ล้านคน

ประเทศฝรั่งเศส มีชาวต่างชาติประมาณ 7 ล้านคน คิดเป็น 10.3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 67.97 ล้านคน เป็นต้น

ประเทศดังกล่าวข้างต้น เขาทำไมไม่กลัวว่าจะเป็นการขายชาติ หรือจะถูกต่างชาติฮุบประเทศ แต่ประเทศยังคงเปิดกว้าง ก็ยิ่งได้คนดีคนเก่งเข้าไปช่วย ทำให้ประเทศเจริญเติบโตยิ่งขึ้น

ถ้าเราจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากรายได้การขายที่อยู่อาศัย 2.5 ล้านล้านบาท 1% ก็จะเป็นเงินถึง 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี เราสามารถนำเงินนี้ตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ถ้าคิดว่าช่วยรายละ 1 แสนบาท จะช่วยผู้มีรายได้น้อยถึงปีละ 250,000 ครัวเรือน เพราะการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน จะสร้างความมั่นคงเริ่มจากครอบครัว และมีผลต่อเนื่องไปสู่ความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติด้วย

เมกะโปรเจ็กต์รัฐ-ของต้องมี

ที่กล่าวมา เป็นข้อเสนอแนะที่สำคัญวิธีหนึ่ง ที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลยังต้องเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้บังเกิดความสะดวกสบาย ปลอดภัย ที่เอื้อให้ชีวิตประชาชนคนไทยได้อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เช่น เส้นทางคมนาคมต่าง ๆ สนามบิน สถานศึกษา โรงพยาบาล

โดยเฉพาะโครงการที่จะเสริมสร้างจุดแข็งของทำเลที่ตั้งของประเทศไทย ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของแหลมอินโดจีน เช่น การเร่งรัดโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจากจีนไปยังสิงคโปร์ การส่งเสริมเส้นทางทั้งถนนและรถไฟไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ และต่อเนื่องไปยังตะวันออกกลาง ก็จะจุดประกายความเป็นศูนย์กลางอินโดจีนของไทยให้สว่างไสวยิ่งขึ้น

โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่เชื่อมฝั่งอันดามันข้ามมายังอ่าวไทย ที่เสริมเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางเรือระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เพิ่มจุดแข็งข้อต่อรองให้ประเทศไทยดีขึ้นในเวทีโลก

และระยะยาวควรพิจารณาว่าการสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเล เพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ โดยสันเขื่อนยังใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อ Eastern Seaboard กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และต่อเนื่องกับ Land Bridge และ Southern Seaboard นั้น จะคุ้มค่าหรือไม่ หรือมีวิธีอื่น ๆ ที่ดีกว่า

การส่งเสริมให้ประเทศไทย เป็นสถานที่ที่จัดแสดง Expo หรือมหกรรมนานาชาติ การแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ตลอดจนไปถึง Olympic การจัดงาน Art Biennale กระจายไปในหัวเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่อาคาร สถานที่ การยกระดับมาตรฐาน และการกระตุ้นประชาชนไทยให้มีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย

ใช้สถาปัตยกรรม-ตัวจุดประกาย

รัฐบาลควรส่งเสริมโดยใช้สถาปัตยกรรมเป็นตัวจุดประกาย เช่นเดียวกับที่ประเทศสำคัญทั่วโลกได้ทำมาแล้ว เช่น การสร้างสนามกีฬาที่ทันสมัย โรงละครขนาดใหญ่ พิพิธภัณฑ์ระดับโลก หอชมวิว ฯลฯ ที่เป็นจุดขายใหม่ให้กับประเทศไทย

พื้นที่ดินของทางราชการที่ว่างอยู่ ทำเลดี ที่จะนำมาพัฒนาให้เป็นจุดขายดังกล่าวข้างต้นได้ดี เช่น ที่ดินท่าเรือคลองเตย ที่ดินแถวจตุจักรของการรถไฟฯ

ถ้าเราดูตัวอย่างย้อนหลังของประเทศต่าง ๆ ในโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมเป็นตัวชูโรง เช่น หอไอเฟล ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส, เทพีเสรีภาพ ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา, พระเยซูบนยอดเขาในรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล, Opera House ในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย, Gardens by the Bay ประเทศสิงคโปร์, พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ต่าง ๆ Palm Jumeirah และตึกสูงที่สุด Burj Khalifa เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ หรือ London Eye ริมแม่น้ำเทมส์…. เป็นต้น

การส่งเสริม Soft Power เป็นอีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญและส่งเสริม ควรปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ในด้านต่าง ๆ ทั้งศิลปกรรม และวิทยาศาสตร์ ผ่านกิจกรรมการแข่งขันของเด็กและเยาวชนเพื่อกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนเร้นให้ฉายแสงเปล่งประกายเฉิดฉาย

สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทย ก้าวหน้าและเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน

ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องเปลี่ยนจาก มองแคบ คิดใกล้ เป็น มองกว้าง คิดไกล

ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุก ๆ คนจะมีส่วนร่วมในการช่วยคิด และช่วยกันทำให้เราไปสู่สิ่งที่เรามุ่งหวัง คือ ประเทศไทยที่เจริญเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืนยิ่ง ๆ ขึ้นไป

อ่านข่าวต้นฉบับ: ปลุกทีมไทยแลนด์ “รัฐ+เอกชน” ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมมุ่งโตยั่งยืน

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1623823/feed 0
เมืองอัจฉริยะต้นแบบ “วัน แบงค็อก” คว้า WiredScore-SmartScore ระดับแพลทินัม https://www.prachachat.net/property/news-1623852 https://www.prachachat.net/property/news-1623852#respond Thu, 08 Aug 2024 02:30:34 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1623852 เทศกาลล่ารางวัลเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ โดยโครง […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: เมืองอัจฉริยะต้นแบบ “วัน แบงค็อก” คว้า WiredScore-SmartScore ระดับแพลทินัม

]]>
เทศกาลล่ารางวัลเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้

โดยโครงการ “วัน แบงค็อก” เมืองอัจฉริยะต้นแบบเพื่อความยั่งยืนที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ พัฒนาโดย ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน WiredScore และมาตรฐาน SmartScore ในระดับแพลทินัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับอาคารสำนักงาน

“WiredScore” คือระบบรับรองมาตรฐานอาคารระดับโลก ที่ประเมินคุณภาพอาคารจากโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และความสามารถในการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล ขณะที่ “SmartScore” คือระบบรับรองมาตรฐานอาคารระดับโลกที่ประเมินคุณสมบัติของอาคารในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูงมาใช้

สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ วัน แบงค็อก ในการให้บริการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ดีที่สุด รวมถึงระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะเหนือระดับ เพื่อมอบประสบการณ์ในการทำงานที่เป็นเลิศให้กับผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร น่าสนใจว่าปัจจุบันอาคารที่ได้รับการรับรองสูงสุดจากทั้งสองมาตรฐานนั้นมีเพียง 1% เท่านั้น จากอาคารที่ได้รับการรับรองระดับอื่น ๆ ทั่วโลก

วัน แบงค็อก

“นายลิม ฮัว เทียง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ วัน แบงค็อก ระบุว่า การได้รับการรับรองโดยมาตรฐานทั้งสองนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการสร้างอาคารที่ไม่เพียงแต่รองรับเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของโลกปัจจุบัน แต่ยังมีความพร้อมในการตอบสนองต่อความก้าวหน้า ของการพัฒนานวัตกรรมในโลกอนาคตอีกด้วย

อีกทั้งเป็นการยืนยันถึงคำมั่นสัญญาของเราในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร พร้อมด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เชื่อมโยงถึงกันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในระดับแนวหน้าของเรา ในการพัฒนาอาคารอัจฉริยะในประเทศไทย พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง

ด้วยคุณสมบัติที่ครบครันของอาคารสำนักงานแห่งโลกอนาคตที่ตอบโจทย์การทำงานทุกรูปแบบ ทำให้อาคารสำนักงานของ วัน แบงค็อก ได้รับความสนใจและตอบรับจากบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากหลากหลายธุรกิจ โดยปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำที่ได้ลงนามสัญญาเพื่อย้ายสำนักงานเข้ามาที่โครงการ วัน แบงค็อก แล้ว

อาทิ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), เอสเต ลอเดอร์ คอมพานีส์, บริษัท เอ. เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไลน์แมน วงใน และบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นต้น

นอกเหนือจากการรับรองโดยมาตรฐาน WiredScore และ SmartScore ระดับแพลทินัมแล้ว วัน แบงค็อก ยังเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับแพลทินัม และยังมุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้บริการอีกด้วย

อ่านข่าวต้นฉบับ: เมืองอัจฉริยะต้นแบบ “วัน แบงค็อก” คว้า WiredScore-SmartScore ระดับแพลทินัม

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1623852/feed 0
FPT พลิกโฉมใหม่สาทรสแควร์ ย้ำผู้นำออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง https://www.prachachat.net/property/news-1624616 https://www.prachachat.net/property/news-1624616#respond Wed, 07 Aug 2024 00:47:20 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1624616 FPT-เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาคารสำน […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: FPT พลิกโฉมใหม่สาทรสแควร์ ย้ำผู้นำออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง

]]>
FPT-เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรม 2.4 แสน ตร.ม. ชู 5 มิติ กลยุทธ์ Asset Enhancement Initiative (AEI) ปรับโฉม 2 อาคารสำนักงานใจกลางเมือง “สาทรสแควร์-ปาร์คเวนเชอร์” ยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ รับศึกอาคารสำนักงานเกิดใหม่ล้นตลาด ส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 นายวิทวัส คุตตะเทพ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า FPT ในฐานะผู้นำธุรกิจอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรมรวม 2.4 แสนตารางเมตร

มองเห็นทิศทางตลาดอาคารสำนักงานมีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นต่อเนื่อง จากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกมากถึง 1.6 ล้านตารางเมตร ที่มีกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า

ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในแต่ละปีขยายตัวไม่มากนัก รวมถึงลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมองหาอาคารที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตพนักงานและผู้ใช้อาคารอีกด้วย

FPT จึงเร่งดำเนินการโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative : AEI) ของสาทรสแควร์ และปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบันสาทรสแควร์ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเผยโฉมใหม่แล้ว ส่วนปาร์คเวนเชอร์จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 นี้

ทั้งนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม อีกทั้งสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางด้านความยั่งยืน โดยได้นำแนวคิดนี้ถ่ายทอดกับการยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ และคุณภาพอาคารของสาทรสแควร์

ผ่านกลยุทธ์ 5 มิติ สำหรับ Asset Enhancement Initiative (AEI) ในการรักษามาตรฐานอาคารเกรดเอ เพื่อสามารถแข่งขันท่ามกลางอาคารสำนักงานเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ดังนี้

1. Smart Technology : ยกระดับความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ ระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อ สามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR Code ผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ

เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถ ที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ (License Plate Recognition) ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ (e-Payment) พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

นอกจากนี้ อาคารยังรองรับบริการพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Platinum ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล (Digital Connectivity) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดจาก WiredScore

2. Sustainability Excellence : ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร

โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System : BMS) มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร มี Motion Censor จับความเคลื่อนไหวสำหรับเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติในพื้นที่ใช้งานน้อย

และปรับกระบวนการบริหารอาคารโดยจัดการทรัพยากรตามแนวทางอนุรักษ์พลังงาน สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทั่วโลก ซึ่งตอกย้ำจุดเด่นของสาทรสแควร์ตามที่ได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานมาตั้งแต่เปิดใช้อาคาร

ทั้งมาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED ระดับ Gold 2013 (พ.ศ. 2556) รางวัล Thailand Energy Awards 2014 และ ASEAN Energy Awards 2014 (พ.ศ. 2557) รวมถึงรางวัล MEA Energy Awards 2019 (พ.ศ. 2562)

3. Superb Well-being : ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality : IAQ) แสดงสภาพอากาศภายในอาคารเทียบกับอากาศภายนอกอาคาร เพื่อเสริมความมั่นใจ

รวมถึงใส่ใจในคุณภาพการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ของพนักงานออฟฟิศ โดยสาทรสแควร์มีพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้และน้ำรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหารนานาชาติ คลินิกสุขภาพความงาม ที่พบปะสังสรรค์ (Hangout) สำหรับสานสัมพันธ์นอกเวลางาน เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น

4. Support Tenant Centricity : สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคารด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจุดเด่นด้านการบริหารอาคารของบริษัท ที่ดำเนินการมาตลอดคือ การจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่ในสาทรสแควร์สำหรับทุกคน

5. Spectacular Design : สวยงามและโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์

การปรับโฉมล็อบบี้ในครั้งนี้ ผู้ออกแบบได้นำคำว่า “สแควร์” หรือ “รูปทรงสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาคารมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผสมผสานผนังใหม่สีเงินเมทัลลิคที่สะท้อนความทันสมัยและมีพลัง เพิ่มเติมด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่

สร้าง “สีสันมิติใหม่” (Neo-vibrant) ที่เป็นตัวตนจุดเด่นสำคัญของอาคาร เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความสดใสและแรงบันดาลใจ เติมพลังงานและความกระฉับกระเฉงให้กับผู้ใช้อาคาร สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neo-vibrant Business Complex

“เราเชื่อมั่นว่าการยกระดับคุณภาพสาทรสแควร์ครั้งนี้ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำ และรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม

มุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Community และ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” นายวิทวัสกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับ: FPT พลิกโฉมใหม่สาทรสแควร์ ย้ำผู้นำออฟฟิศเกรด A ใจกลางเมือง

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1624616/feed 0
CCP ลงทุน 100 ล้าน ขยายลานกองคอนเทนเนอร์ ท่าเรือแหลมฉบัง รองรับปีละ 3 แสนตู้ https://www.prachachat.net/property/news-1624399 https://www.prachachat.net/property/news-1624399#respond Tue, 06 Aug 2024 10:32:52 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1624399 CCP เดินหน้าธุรกิจโลจิสติกส์ ส่งบริษัทย่อย บริษัท ชาลี […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: CCP ลงทุน 100 ล้าน ขยายลานกองคอนเทนเนอร์ ท่าเรือแหลมฉบัง รองรับปีละ 3 แสนตู้

]]>
CCP เดินหน้าธุรกิจโลจิสติกส์ ส่งบริษัทย่อย บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชั่น จำกัด เตรียมก่อสร้างลานตู้คอนเทนเนอร์เปล่า บนที่ดิน 40 ไร่ ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง เจาะลูกค้าผู้ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จ และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ ปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไป

วันที่ 6 สิงหาคม 2567 นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง CCP และ WHALE LOGISTICS GROUP หนึ่งในผู้นำด้านเขตปลอดอากร (Free Zone) และ Logistic ครบวงจร ในโซนแหลมฉบัง

ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารคลังสินค้า Free Zone เฟส 1 เสร็จเรียบร้อยและเริ่มให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2/67 ที่ผ่านมา โดยมีสินค้าจากภาคผลิตต่าง ๆ เข้ามาใช้บริการแล้วประมาณ 60% คาดว่าภายในไตรมาส 4 จะมีลูกค้ามาใช้บริการเต็มพื้นที่

ล่าสุดบริษัทเดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ เตรียมก่อสร้างลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์เปล่า บนที่ดินกว่า 40 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้กว่า 300,000 ตู้ต่อปี

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม

เพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในโซนแหลมฉบัง จากการขยายตัวของลูกค้าในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยบริษัททีเอ็มเอ็ม เทรดดิ้ง จำกัด บริษัทผู้เชี่ยวชาญงานออกแบบและรับเหมาก่อสร้างครบวงจร คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการ และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ ไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้มีลูกค้ารอใช้บริการแล้ว โดยท่าเรือแหลมฉบัง มีความต้องการการใช้มากกว่า 10 ล้านตู้ต่อปี

อีกทั้งบริษัทมีแผนจะขยายพื้นที่ให้บริการในรูปแบบการร่วมมือกับ Partner ที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาสร้างคลังสินค้า และพื้นที่ลานจัดเก็บสินค้า ช่วยสร้างการเติบโตต่อเนื่อง

“การต่อยอดให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ บริษัทย่อยของบริษัท เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขัน จากแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ที่มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ EEC

โดยบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ การเปิดแพลนต์คอนกรีตในโซนแหลมฉบัง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล เชื่อมั่นว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 67 จะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญของบริษัทร่วมทุน ทั้งนี้ CCP จะเริ่มรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก CHARLIE ได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของ CCP ในอนาคต” นายอาทิตย์กล่าว

CCP

อ่านข่าวต้นฉบับ: CCP ลงทุน 100 ล้าน ขยายลานกองคอนเทนเนอร์ ท่าเรือแหลมฉบัง รองรับปีละ 3 แสนตู้

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1624399/feed 0
PROUD อัพเกรดย้ายเข้าเทรดตลาด SET 6 ส.ค. 67 มั่นใจสร้างการเติบโตทุกมิติ https://www.prachachat.net/property/news-1624365 https://www.prachachat.net/property/news-1624365#respond Tue, 06 Aug 2024 10:30:08 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1624365 PROUD ได้ฤกษ์เข้าเทรด SET กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วัน […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: PROUD อัพเกรดย้ายเข้าเทรดตลาด SET 6 ส.ค. 67 มั่นใจสร้างการเติบโตทุกมิติ

]]>
PROUD ได้ฤกษ์เข้าเทรด SET กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วันแรก 6 ส.ค. 2567 ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ มุ่งเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนสู่หุ้นยั่งยืนตอบโจทย์ด้าน ESG ตัวเลือกใหม่การลงทุนเพื่ออนาคต เป้าหมายสู่หุ้นกองทุน Thai ESG สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

วันที่ 6 สิงหาคม 2567 นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทผ่านคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการย้ายหุ้น PROUD เข้าไปทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567

พสุ ลิปตพัลลภ
พสุ ลิปตพัลลภ

ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่หลากหลายรูปแบบ ทั้งในส่วนที่บริษัทพัฒนาและทำการควบรวมกิจการที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมีฐานะการเงินแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจชะลอตัว

การย้ายเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นโอกาสยกระดับธุรกิจของ PROUD ให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น และดึงดูดสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุน High-Net-Worth Individual และนักลงทุนรายย่อย ตลอดจนคู่ค้าพันธมิตรทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

“ตลอดระยะเวลาที่จดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ PROUD ถือเป็นหุ้น High Growth ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าสภาวะตลาดรวม โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันสามารถรักษาผลตอบแทนราคาเป็นบวก ขณะที่ตลาดเอ็มเอไอปรับตัวลงกว่า 13%

และหุ้นกลุ่ม PROPCON ที่ปรับตัวลงกว่า 19% และยังเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) รวมถึงยังมีกองทุนต่างชาติจากประเทศสิงคโปร์เข้าถือหุ้น ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการดำเนินงานที่โดดเด่นตลอดมา ซึ่งสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมอสังหาฯ” นายพสุกล่าว

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ PROUD หลังจากในปี 2566 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการควบรวมกิจการในสองโครงการจาก NOBLE ซึ่งโครงการแรกได้มีการทยอยรับรู้รายได้แล้ว และในปีนี้บริษัทยังมี Backlog ในมือกว่า 10,692 ล้านบาท ที่พร้อมทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567-2569

โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทุกโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติ ซึ่งมียอดขายเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปี 2567 มียอดจองจากชาวต่างชาติเติบโตสูงถึง 14% เมื่อเทียบกับปี 2566

บริษัทยังคงสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทาย และด้วยความแตกต่างของบริษัทที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดในตลาดและเป็นฐานลูกค้าของบริษัท

อีกทั้งบริษัทได้ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้งานบริการและการออกแบบโครงการ ควบคู่การดำเนินงานด้านความยั่งยืนอื่น ๆ อย่างรอบด้าน จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทจะสามารถผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมก้าวสู่การเติบโตต่ออย่างแข็งแกร่ง

มากไปกว่านั้น บริษัทได้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนเพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)

ตามกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจนภายใต้กรอบนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) และยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอีกมากมาย

โดยในปี 2567 นี้ บริษัทได้เข้าร่วมโครงการพัฒนากับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ เป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในหุ้นของกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG)

ซึ่งปัจจุบันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติสิทธิพิเศษด้านภาษีที่สามารถขอลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาทเพิ่มเติมจากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน โดยคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนได้มากขึ้น จากการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

เป้าหมายสู่การได้เป็นหนึ่งในหุ้นกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG) จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถดึงดูดนักลงทุนให้กับบริษัท ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนได้อีกมากในอนาคต

อ่านข่าวต้นฉบับ: PROUD อัพเกรดย้ายเข้าเทรดตลาด SET 6 ส.ค. 67 มั่นใจสร้างการเติบโตทุกมิติ

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1624365/feed 0
ครม.อนุมัติ ร่างกฎหมายเวนคืนอสังหาฯ สร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 4 ฉบับ https://www.prachachat.net/politics/news-1624210 https://www.prachachat.net/politics/news-1624210#respond Tue, 06 Aug 2024 09:18:10 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1624210 ครม.มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ครม.อนุมัติ ร่างกฎหมายเวนคืนอสังหาฯ สร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 4 ฉบับ

]]>
ครม.มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน จำนวน 4 ฉบับ

วันที่ 6 สิงหาคม 2567 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (6 สิงหาคม 2567) มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้

1.ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

2.ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

3.ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

4.ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ สรุปได้ดังนี้

1.ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา 4 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

2.ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิในที่ดินให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องยอมรับภาระว่าไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ตามปกติ แต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาดที่ รฟม.จะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น

3.ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางชื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ภายในระยะเวลา 4 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

4.ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางชื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัดและเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …

มีสาระสำคัญเป็นกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัดและเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิในที่ดินให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายต้องยอมรับภาระว่าไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ตามปกติ แต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาดที่ รฟม.จะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น

โดยร่างพระราชบัญญัติรวม 4 ฉบับ สืบเนื่องจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจัดการกรรมสิทธ์ที่ดินในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ แบ่งออกเป็น 2 กรณี

(1) กรณีเวนคืนเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา 4 ปี

ทั้งนี้ แม้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบที่ดินที่ถูกเขตทางทั้งหมดในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล เพื่อใช้ในการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว แต่มีเจ้าของที่ดินช่วงหัวลำโพง-บางแค จำนวน 23 แปลง (จาก 374 แปลง) และช่วงบางชื่อ-ท่าพระ จำนวน 24 แปลง (จาก 298 แปลง) ไม่ตกลงซื้อขายการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จึงวางเงินทดแทนให้กับเจ้าของที่ดินดังกล่าว แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ยังเป็นของเจ้าของที่ดิน

โดยจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยก็ต่อเมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และพระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ เพื่อให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป

(2) กรณีกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิ์ในที่ดินให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายต้องยอมรับภาระว่าไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ตามปกติ แต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น ทางวิ่งรถไฟฟ้าในอุโมงค์ (ใต้ดิน) ทางวิ่งของรถไฟฟ้าพาดผ่านบริเวณเหนือที่ดิน เป็นต้น

ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยยังไม่ได้จดทะเบียนกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ ในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกำหนดลักษณะภาระนั้นจะตกอยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ แม้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้วางเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินดังกล่าว แต่เจ้าของที่ดินไม่มาตกลงทำสัญญากำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ ช่วงหัวลำโพง-บางแค จำนวน 114 แปลง (จาก 329 แปลง) และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน 37 แปลง (จาก 170 แปลง) ดังนั้น เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกำหนดลักษณะภาระนั้นจะตกอยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์ก็ต่อเมื่อได้มีตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนและพระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 รวม 2 ฉบับ เพื่อกำหนดภาระอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกิจการขนส่งมวลชนในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล

โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่เสนอในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามมาตรา 28 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนและการได้มาอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 และมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งเจรจากับเจ้าของที่ดินได้ประโยชน์ในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าดังกล่าว ให้ได้ยุติภายในกรอบระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต่อไป

อ่านข่าวต้นฉบับ: ครม.อนุมัติ ร่างกฎหมายเวนคืนอสังหาฯ สร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 4 ฉบับ

]]>
https://www.prachachat.net/politics/news-1624210/feed 0
เจ้าพ่อวิลล่าหรูภูเก็ต เจียระไน “โบทานิก้า พรุจำปา” https://www.prachachat.net/property/news-1621529 https://www.prachachat.net/property/news-1621529#respond Mon, 05 Aug 2024 05:58:40 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1621529 เพราะไม่เคยหยุดนิ่ง ก็เลยได้รับการยอมรับในฐานะเป็นเจ้าพ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: เจ้าพ่อวิลล่าหรูภูเก็ต เจียระไน “โบทานิก้า พรุจำปา”

]]>
เพราะไม่เคยหยุดนิ่ง ก็เลยได้รับการยอมรับในฐานะเป็นเจ้าพ่อตลาดพูลวิลล่าแห่งเกาะภูเก็ต “กลุ่มโบทานิก้า”

ล่าสุด ปักหมุดทำเลใหม่มาแรง “พรุจำปา” ผุดแบรนด์หรู “โบทานิก้า พรุจำปา-Botanica Pru Jampa” มูลค่าโครงการ 1,572 ล้านบาท จำนวนจำกัด 89 ยูนิต บนพื้นที่โครงการรวม 52,000 ตารางเมตร

โครงการ Botanica Pru Jampa เป็นโครงการอันดับที่สองในพรุจำปาของโบทานิก้า หลังประสบความสำเร็จกับบิ๊กโปรเจ็กต์ขนาด 200 ไร่ อย่าง Botanica Four Seasons มาก่อนหน้านี้

โดย “อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ระบุว่า โบทานิก้า พรุจำปา เป็นโครงการที่ 2 บนทำเลเกิดใหม่พรุจำปา ต่อยอดจากความสำเร็จโครงการแรกแบรนด์ “Botanica Four Seasons” ซึ่งบริษัทเล็งเห็นจุดแข็ง 3 ข้อ ของพื้นที่พรุจำปา ได้แก่

1.ทำเลทิศเหนือของโครงการ อยู่ใกล้สนามบินนานาชาติภูเก็ต มีระยะเดินทาง 15 นาที และเชื่อมต่อกับถนนสายหลักที่เดินทางไปยังไลฟ์สไตล์ฮับและแลนด์มาร์กสำคัญของภูเก็ต แวดล้อมด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ แหล่งท่องเที่ยว โรงพยาบาลชั้นนำ และโรงเรียนนานาชาติ อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงเรียนนานาชาติ UWC เป็นต้น ทั้งยังอยู่ใกล้กับ Thanyapura Sports & Health Resort เหมาะกับนักลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า หรืออยู่อาศัยเอง เป็นบ้านหลังที่ 2

2.ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางวิวภูเขาเขียวชอุ่มของโซนพรุจำปา ใกล้หาดชื่อดังหลายหาด ทำเลที่สร้างบรรยากาศร่มรื่น สดชื่น และผ่อนคลาย เมื่อเทียบกับความพลุกพล่านในโซนเมืองภูเก็ต ตอบโจทย์ดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในเอ็กซ์คลูซีฟคอมมิวนิตี้

และ 3.คุ้มค่าการลงทุน “…แม้ว่าพรุจำปาจะยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่เราเริ่มเห็นการเปิดตัวของหลาย ๆ โครงการในพื้นที่ เชื่อว่าเมื่อนักลงทุนเริ่มเล็งเห็นศักยภาพและความยูนีคของทำเลนี้มากขึ้น ราคาที่ดินก็จะขยับขึ้นตามดีมานด์ในอนาคตอันใกล้ ทำให้การลงทุนอสังหาฯทำเลพรุจำปา ถือว่าอยู่ในช่วงราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้มากกว่าย่านไพรมแอเรียอื่น ๆ เรามั่นใจว่าในอนาคต พรุจำปา จะพัฒนาเป็น The Next Prime Location แน่นอน”

สำหรับรายละเอียด โบทานิก้า พรุจำปา นำเสนอคอนเซ็ปต์ Keep in Touch โอบรับธรรมชาติแสนสงบแบบ 360 องศา ด้วยดีไซน์ที่กว้างขวาง ปลอดโปร่งรอบบ้าน จัดเต็มกับเวิลด์คลาสฟาซิลิตี้ ตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยเหนือระดับตามแบบฉบับโบทานิก้า ฟังก์ชั่นวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 280 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวทุกหลัง ในราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท

บริษัทอยู่ระหว่างจัดโปรโมชั่นช่วงแนะนำโครงการ ยูนิตพิเศษราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท ทั้งโครงการมีจำนวนจำกัด 89 ยูนิตเท่านั้น

“2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่เราเดินหน้าเติบโตอย่างมั่นคง ปีนี้เราลุยเข้าเซ็กเมนต์ใหม่กับคอนโดฯหรู HYTHE by Botanica พร้อมกับมีแผนเปิดตัววิลล่าหรูแห่งใหม่ที่หาดกะรน ช่วงไตรมาส 3/67 ก่อนหน้านี้ เราได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่กระบี่และหัวหิน แผนลงทุนเตรียมลุยตลาดใหม่ในทำเลหัวเมืองท่องเที่ยว เพื่อผลักดันอสังหาฯไทยสู่เวิลด์คลาสเดสติเนชั่นระดับโลก” คำกล่าวของ CEO อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ

อ่านข่าวต้นฉบับ: เจ้าพ่อวิลล่าหรูภูเก็ต เจียระไน “โบทานิก้า พรุจำปา”

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1621529/feed 0
SC ผนึกซูเปอร์เอเย่นต์ฮ่องกง ดันยอดขาย “สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49” https://www.prachachat.net/property/news-1621502 https://www.prachachat.net/property/news-1621502#respond Mon, 05 Aug 2024 05:41:54 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1621502 ไตรมาส 3/67 ค่ายเอสซี แอสเสทฯ เดินหน้าเสริมแกร่งแผนธุรก […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: SC ผนึกซูเปอร์เอเย่นต์ฮ่องกง ดันยอดขาย “สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49”

]]>
ไตรมาส 3/67 ค่ายเอสซี แอสเสทฯ เดินหน้าเสริมแกร่งแผนธุรกิจตามวิสัยทัศน์ “SC the Evolution-สร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตบนความหลากหลาย”

ล่าสุด ต่อจิ๊กซอว์การลงทุนด้วยการร่วมกับพันธมิตรธุรกิจรายล่าสุด “กลุ่มไนท์สบริดจ์ พาร์ทเนอร์ส” ซูเปอร์เอเย่นต์จากเกาะฮ่องกง เพื่อผลักดันยอดขายในโควตา 49% ซื้อคอนโดมิเนียมแบรนด์ดัง “สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49-SCOPE Promsri Sukhumvit 49”

นำโดย “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ย้ำแบรนด์ SC ในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ไทย บนเวทีอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ

แน่นอนว่าไพรออริตี้แรกที่ลูกค้าต่างชาติต้องการช็อปห้องชุด ยังคงเป็นมหานครกรุงเทพ ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติอันดับ 1 สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก เพราะอย่าลืมว่าไทยมีค่าครองชีพและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในระดับเหมาะสม ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและลงทุน ให้ผลตอบแทนสูงและมั่นคง

ทั้งนี้ สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49 เป็นคอนโดฯ ร่วมลงทุนกับ “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด ถูกพัฒนาด้วย Global Mindset ใส่ใจทุกรายละเอียด อาทิ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกแบรนด์ Ligne Roset อายุเก่าแก่ 160 ปี มาตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง และห้องชุด

ออกแบบเป็นคอนโดฯ Low Rise ความสูง 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 148 ยูนิต ห้องพักมีแบบเดียวทั้งโครงการ เป็นห้องชุด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 28-34.99 ตารางเมตร นำเสนอโมเดล Pet-friendly, บริการแม่บ้านทำความสะอาดห้องรายสัปดาห์, บริการเครื่องดื่มกาแฟฟรี ซึ่งเป็นบริการของโรงแรมหรู ทำให้ยกระดับการพักอาศัยเทียบเท่า Serviced Residence ที่โดนใจผู้เช่าชาวต่างชาติ

เอสซี แอสเสท สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49-SCOPE Promsri Sukhumvit 49

ผู้บริหารอีกราย “นางสาวพิชชากร มีศักดิ์” หัวหน้าสายงาน Global Network เอสซี แอสเสทฯ ระบุว่า ศักยภาพซอยพร้อมศรี เป็นซอยกลางเชื่อมต่อ 2 ซอยที่เป็นทำเลแพงที่สุดอันดับต้น ๆ ของประเทศ คือ พร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) และซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) ทำให้มูลค่าของที่ดินพุ่งสูงขึ้นทุกปี

จึงถือโอกาสนี้ แต่งตั้ง บริษัท ไนท์สบริดจ์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด (Knightsbridge Partners) ตัวแทนการขายชั้นนำในตลาดต่างประเทศ เป็น Master Agent ดูแลโควตาต่างชาติ ของโครงการ SCOPE Promsri Sukhumvit 49 (สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49)

“จุดโฟกัสยังรวมถึงย่านพร้อมศรี เป็นโซนยอดนิยมพักอาศัยของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้เช่าหลัก มีพฤติกรรมเลือกอาศัยในคอนโดฯลักเซอรี่ ทำให้คาดการณ์สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49 มีโอกาสได้รับผลตอบแทนการเช่าสูงเฉลี่ย 4-5% ต่อปี ทำให้มั่นใจว่าดีลความร่วมมือครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งและสร้างชื่อเสียงของ SC ให้แก่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติจากทุกมุมโลกได้เป็นอย่างดี”

ด้าน “มร.คิงสตัน ไล” ประธานอำนวยการ บริษัท ไนท์สบริดจ์ พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัทโบรกเกอร์ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากฮ่องกง กล่าวว่า บริษัทยินดีที่ได้ร่วมงานกับ SC ในฐานะ Master Agent บริษัทตัวแทนซื้อ-ขายอสังหาฯแบบเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ

“SCOPE Promsri Sukhumvit 49 ตอบโจทย์การได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยใจกลางสุขุมวิท แต่มีราคาเริ่มต้น 7.95 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าและหาแทบไม่ได้ในตลาด ที่สำคัญมีบริการหลังการขายของ SC ที่ชาวต่างชาติยอมรับและเชื่อมั่น มั่นใจว่าถูกใจกลุ่มลูกค้าแน่นอน”

นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่น Racquet Club Sport Club ครบวงจร 2 ปี ให้กับลูกค้าต่างชาติอีกด้วย

อ่านข่าวต้นฉบับ: SC ผนึกซูเปอร์เอเย่นต์ฮ่องกง ดันยอดขาย “สโคป พร้อมศรี สุขุมวิท 49”

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1621502/feed 0
SCG ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ปรับตัว 360 องศา เดินหน้าลงทุนไทย-ตปท. https://www.prachachat.net/property/news-1621484 https://www.prachachat.net/property/news-1621484#respond Mon, 05 Aug 2024 04:39:50 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1621484 เป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศเติบโตช้า แถมโตแบบกระจุกตัวอีก […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: SCG ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ปรับตัว 360 องศา เดินหน้าลงทุนไทย-ตปท.

]]>
เป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศเติบโตช้า แถมโตแบบกระจุกตัวอีกต่างหาก

ทำให้ยักษ์คอร์ปอเรตไทย “SCG” สร้างผลประกอบการในไตรมาส 2/67 ทั้งยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาส 1/67 โดยเติบโตจากรายได้ในตลาดเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมทั้งการลงทุนนอกประเทศอื่น ๆ เป็นตัวแปรทำให้สามารถจบตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 2.52 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าจบได้สวยงาม ประเมินจากความยากลำบากของภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองระดับรุนแรงที่ผู้ประกอบการทุกคนและทุกวงการล้วนเจอะเจอเหมือนกัน

ครึ่งปีแรกรายได้ 2.5 แสนล้าน

โดยซีอีโอคนที่ 12 “ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการเอสซีจีในไตรมาส 2/67 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/67 จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ กำลังซื้อในตลาดอาเซียนดีขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมทั้งมีรายได้เงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น ส่งผลให้มีรายได้ 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน กำไรสำหรับงวด 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53%

ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้รวม 252,461 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจากเอสซีจี เคมิคอลส์ 39% เอสซีจีพี 27% เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชั่น 16% เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่งและเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล 13% และเอสซีจี เดคคอร์ 5%

ทั้งนี้ เอสซีจีได้รับผลกระทบจากวัฏจักรปิโตรเคมีโลกยังอยู่ในช่วงขาลง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันสูงจากสินค้าจีนตีตลาดในประเทศ และเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้าจากกำลังซื้อที่อ่อนแอในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย

กาง 5 แผนขันนอตธุรกิจ

นางจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน​ SCG กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์การปรับตัวของเอสซีจี เร่งเพิ่มความฟิตทางธุรกิจ สร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ดังนี้

1.บริหารต้นทุนพลังงาน อาทิ ธุรกิจซีเมนต์ในไทยเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทดแทน 47% 2.โฟกัสธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น มุ่งธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม 3.ปรับปรุงการจัดเก็บ ขนส่ง กระจายสินค้า เช่น ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลวางแผนการจัดส่ง ตรวจรับสินค้า ช่วยลดเวลาทำงาน ลดความเสียหาย ลดโอกาสผิดพลาดในการรับ-ส่ง 4.ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

5.มุ่งส่งมอบโซลูชั่นที่ฟังก์ชั่นและราคา ตรงกับความต้องการของลูกค้า อาทิ CPAC รถโม่เล็ก ขนาดกะทัดรัด สำหรับงานก่อสร้างในเมืองที่มีซอยเล็ก บรรทุกคอนกรีตได้มากสุด 2 คิวต่อเที่ยว ช่วยบริหารปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ได้ง่าย ลดการเหลือทิ้งในไซต์ก่อสร้าง

ไฮไลต์ในครึ่งปีแรก มีการพัฒนาสินค้าใหม่ (NPD-New Products Development) สร้างยอดขาย 38,690 ล้านบาท สัดส่วน 20% ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ HVA-High-Value Added Products & Services มียอดขาย 77,037 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายรวม และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice มียอดขาย 136,124 ล้านบาท สัดส่วนสูงถึง 54%

ด้านการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมส่งออกจากไทย ครึ่งปีแรก 2567 มียอดขาย 111,367 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม

“นูซันตารา” หนุนรายได้อินโดฯ

เทรนด์ครึ่งปีหลัง 2567 ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความท้าทายต่อเนื่อง เอสซีจีดำเนินกลยุทธ์เน้นความคล่องตัวและมั่นคง มีเงินสดและกระแสเงินสด 78,907 ล้านบาท ในภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว ความต้องการสินค้าลดลงตามฤดูกาล และการจัดสรรงบประมาณของรัฐที่ล่าช้า

ทั้งนี้ “กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง” ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจของเวียดนามและอินโดนีเซียที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง กำลังซื้อกลับมาจากแรงหนุนของรัฐบาลอินโดนีเซียเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสร้างเมืองหลวงใหม่ “นูซันตารา” รวมทั้งรัฐบาลเวียดนามผลักดันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI-Foreign Direct Investment

“เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชั่น” เร่งผลักดันปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชั่น 2 สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 15-20% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์เดิม โดยขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกาที่สามารถผลักดันการส่งออกได้มากกว่า 1 ล้านตัน กับตลาดออสเตรเลีย

ล่าสุด เปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำรายแรกในเวียดนาม “SCG Low Carbon Super Cement” ขณะที่ในไทยตลาดโตต่อเนื่อง สัดส่วนการใช้ทดแทนปูนแบบเดิมเกิน 86% พร้อมหนุนงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ได้ออกผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์หลากหลายรุ่น คุณภาพและราคาเหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมมากขึ้น เช่น แบรนด์ “5 STAR” ในกัมพูชา, “BEZT” ในอินโดนีเซีย, “ADAMAX” ในเวียดนาม และแบรนด์ “แรด” ในไทย

บุกหนักทั้งรีเทล-ผนังมวลเบา

“เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล” ลุยเสิร์ฟสินค้าและบริการเรื่องบ้านผ่านร้านค้าปลีก 87 ร้านในอาเซียน โดยครึ่งปีแรกได้ขยายโมเดิร์นเทรด “Mitra10” ผู้เชี่ยวชาญตลาดค้าปลีกในอินโดนีเซีย เพิ่มอีก 2 สาขา ที่เกาะสุมาตราและเกาะชวาตะวันตก นำเสนอสินค้า 65,000 รายการ รองรับลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ตั้งเป้าขยาย 100 สาขาภายในปี 2573 จากปัจจุบันเปิดแล้ว 50 สาขา

“เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง” รุกนำเสนอนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ อาทิ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น เอสซีจี หนุนรับนักท่องเที่ยว สามารถออกแบบลวดลายเอกลักษณ์ด้วยเทคนิคการพ่นสีเฉพาะ เช่น ลายดอกโบตั๋น สำหรับทางเท้าย่านเยาวราช พร้อมทั้งเปิดตัวนวัตกรรมระบบบำบัดอากาศเสีย Air Scrubber สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก ภายใต้แบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living เจาะกลุ่มลูกค้างานอาคารและสำนักงาน ขนาดพื้นที่ใช้สอยขนาดน้อยกว่า 3,500 ตารางเมตร ตั้งเป้าขยายบริการครอบคลุมอาเซียนและตะวันออกกลาง

“SCGD-เอสซีจี เดคคอร์” ผลักดันแผนสร้างการเติบโต 2 เท่าภายในปี 2573 ด้วยการเริ่มเดินการผลิตโรงงานแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO กำลังผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด 500 ล้านบาท และเดินหน้าก่อสร้างโครงการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง กลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน สวยงาม แข็งแรง เป็นที่นิยม 3 โครงการใหญ่ในเวียดนามและไทย คาดเริ่มเดินการผลิตปี 2567 นี้

ขณะเดียวกัน เอสซีจีขยายตลาดวัสดุก่อสร้างสู่อินเดีย โดย SCG International ร่วมกับบริษัท บิ๊กบล็อก คอนสตรัคชั่น จำกัด ลงทุนเปิดโรงงานแผ่นผนังมวลเบาหรือ AAC Walls ภายใต้แบรนด์ “Zmartbuild Wall by NXTBLOC” แห่งแรกในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่การก่อสร้างมูลค่าสูงและเติบโตต่อเนื่อง

รู้เพื่อรอด-LEARN to EARN

“เอสซีจีตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่กระทบความเป็นอยู่ของผู้คนในวงกว้าง จึงร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ทำโครงการ Go Together ให้ความรู้ สร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยเริ่มจากโรงงานสระบุรี พร้อมขยายผลไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เอสซีจีมีโรงงานตั้งอยู่ เช่น กาญจนบุรี ลำปาง ขอนแก่น นครศรีธรรมราช เป็นต้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ด้วยการปรับปรุงและนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน นำของเหลือใช้มาสร้างประโยชน์ เช่น แปรรูปเป็นวัตถุดิบ เชื้อเพลิง รวมทั้งใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ควบคู่กับมูลนิธิเอสซีจี ส่งเสริมแนวคิด “LEARN to EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” เน้นการเรียนรู้เพื่อมีงานทำ โดยมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบ 3,000 ทุนต่อปี ในสาขาที่ตอบโจทย์ตลาด เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เป็นต้น ผลลัพธ์สุดท้ายสัดส่วนมากกว่า 90% มีงานทำ

บรรทัดสุดท้าย บอร์ด SCG อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 23 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) 7 สิงหาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 8 สิงหาคม 2567

อ่านข่าวต้นฉบับ: SCG ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ปรับตัว 360 องศา เดินหน้าลงทุนไทย-ตปท.

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1621484/feed 0
นายกบ้านจัดสรรแกะปมวิกฤต จากซื้อบ้านไม่ได้บ้าน สู่ยุคซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ https://www.prachachat.net/property/news-1622101 https://www.prachachat.net/property/news-1622101#respond Sun, 04 Aug 2024 03:55:52 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1622101 เสียงโหวตด้วยคะแนนเอกฉันท์ให้ “สุนทร สถาพร” ขึ้นเป็นนาย […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: นายกบ้านจัดสรรแกะปมวิกฤต จากซื้อบ้านไม่ได้บ้าน สู่ยุคซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ

]]>
เสียงโหวตด้วยคะแนนเอกฉันท์ให้ “สุนทร สถาพร” ขึ้นเป็นนายกสมาคมบ้านจัดสรร เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ดำรงตำแหน่งวาระ 2 ปี (2567-2569) “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษภารกิจที่นายกบ้านจัดสรรคนใหม่ จะต้องมารันต่อในภาวะที่ภาคธุรกิจเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย

โฟกัสตลาดที่อยู่อาศัย “สุนทร” มองวิกฤตอสังหาฯเปรียบเทียบยุคต้มยำกุ้ง มีปัญหาซื้อบ้านไม่ได้บ้าน แต่ยุคปี 2567 ซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ จึงเป็นงานเร่งด่วนของสมาคม ในการเสนอขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล

โดยมีมาตรการเร่งด่วนในเรื่องบ้านหลังแรก+บ้านตามมาตรการกระตุ้นไม่เกิน 7 ล้านบาท ขอให้เคลียร์ Blacklist เครดิตบูโร, จัดวงเงินซอฟต์โลน 50,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 1.5% รวมทั้งมีข้อแนะนำทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ต้องเคลียร์ภาระหนี้สินให้จบ เพื่อเดินหน้า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลังนี้ การทำธุรกิจต้องยึดหลัก Very Conservative

สถานการณ์ช่วงครึ่งปีแรก 2567

ผมเปรียบเทียบยุควิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ตอนนั้นมีภาวะคนซื้อบ้านไม่ได้บ้าน แต่ยุคนี้วิกฤตกำลังซื้อตกต่ำ คนซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ จะเห็นว่ายอดกู้ไม่ผ่านสูงจนน่าตกใจ กลุ่มราคาต่ำ 3 ล้าน รีเจ็กต์เรตหรือยอดปฏิเสธสินเชื่อ เฉลี่ย 60%, ราคา 3-5 ล้าน รีเจ็กต์เรต 40% และราคาเกิน 5 ล้าน กู้ไม่ผ่าน 30%

ในฝั่งธนาคารยอมรับว่าต้องดูด้านริสก์ (บริหารความเสี่ยง) แต่เงินฝากในระบบมีค่อนข้างมาก ถ้าจำไม่ผิด 5 ล้านล้านบาท ผลประกอบการธนาคารแข็งแกร่ง เพียงแต่ไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจจึงไม่ปล่อยสินเชื่อ สมาคมบ้านจัดสรรต้องหาทางแก้ไขปัญหาซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ

โดยประสานงานกับพันธมิตรสถาบันการเงิน และขอความสนับสนุนจากรัฐบาล เรื่องหลัก ๆ คือ 1.เน้นให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านหลังแรกได้ กับ 2.เน้นสนับสนุนในเซ็กเมนต์ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้สิทธิประโยชน์ในกลุ่มราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท

สมาคมอยากให้แบงก์รัฐ 3 แห่ง คือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย พิจารณาผู้ที่สามารถเคลียร์หนี้เก่าได้แล้วได้รับสินเชื่อใหม่ จากเกณฑ์เดิมที่แบงก์รัฐ เช่น ธอส. ถ้าภายใน 6 เดือน เกณฑ์พิจารณาของธนาคารพาณิชย์ ลูกหนี้ที่มีประวัติสินเชื่ออยู่ในเครดิตบูโร แม้จะปลดหนี้แล้ว แต่ก็ยังประวิงเวลาออกไปอีก 6 เดือน เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงหนี้เสียของธนาคาร ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องที่สมาคมเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาผ่อนคลายเกณฑ์ สำหรับผู้ปลดหนี้แล้วให้ถือว่าไม่เป็นแบล็กลิสต์แล้ว และสามารถได้รับการพิจารณาสินเชื่อใหม่ได้ทันที

ปัจจุบันนี้ธนาคารก็มีหน้าที่ตัดสินใจว่าจะเทกริสก์ หรือไม่เทกริสก์ในการปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกค้าสินเชื่อในกลุ่มนี้ ซึ่งถ้าแบงก์รัฐทั้ง 3 แห่งเห็นด้วย จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้อีกมาก เพราะการซื้อบ้าน 1 หลัง นอกจากจะต่อเติมซ่อมแซมแล้ว ยังมีการซื้อเฟอร์นิเจอร์ มีการตกแต่งต่าง ๆ ทำให้สร้างงานสร้างเงินให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมากมายมหาศาล

ทีนี้ก็มีคำถามว่า แบงก์จะยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน คำตอบให้ดูที่วงเงินก่อนว่าควรขนาดเท่าไหร่ ในยุคต้มยำกุ้ง ธอส.เคยปล่อยซอฟต์โลน 3 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ย 5% ถือว่าต่ำมากในปี 2542 ซึ่งดอกเบี้ยในตลาดตัวเลข 2 ดิจิต ปรากฏว่าวงเงินหมดในเวลารวดเร็ว จากนั้นมาดูมีหนี้เสียเยอะไหม สรุปว่า ธอส.ต้องระมัดระวังด้วย มีตัวเลขบาลานซ์สกอร์การ์ด อยู่รอดได้ หนี้เสียอาจเกิน 3% มาเป็น 4.5%

แต่หลักสำคัญคือนโยบายสนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน ถามว่าตัวเลขควรเป็นเท่าไหร่ คำตอบของสมาคมให้ไปอ้างอิงสูตรคำนวณตอนต้มยำกุ้ง มูลค่าสินเชื่อในตลาดตอนนั้นมี 4-5 แสนล้านบาท วงเงินซอฟต์โลน 3 หมื่นล้านบาท เทียบเท่า 8% ของสินเชื่อรวม บ้านเดี่ยวเคยมีราคาเริ่มต้น 2 ล้านปลายถึง 3 ล้านบาท ปัจจุบันบ้านแนวราบเฉลี่ยราคา 4 ล้านบาท เทียบต้มยำกุ้งเฉลี่ย 2 ล้านกว่าบาท ดังนั้นปัจจุบันสินเชื่อรวม 8-9 แสนล้านบาท หากรัฐบาลจัดวงเงินซอฟต์โลนสัดส่วน 6-7% ก็จะเท่ากับ 50,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ มีสถิติเรื่องดอกเบี้ย 3 ปีแรก (ดอกเบี้ยโปรโมชั่นที่แบงก์แข่งขันให้สินเชื่อ) ตอนนี้เฉลี่ยที่ 3% เสนอให้มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ คือต่ำพิเศษเหลือครึ่งหนึ่ง หรือ 1.5% บวกลบ โดยเราอ้างอิงจากสูตรการช่วยเหลือในอดีตที่รัฐบาลจัดหาดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดครึ่งหนึ่ง แต่การพิจารณาก็ขึ้นกับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลมีกลไกแบงก์รัฐอยู่แล้ว

ผมอยากฉายภาพให้เห็นว่า ในปี 2542 ที่มีซอฟต์โลน 3 หมื่นล้าน และมีดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดครึ่งหนึ่งที่ 5% ผลลัพธ์ของมาตรการทำให้ภาคอสังหาฯเริ่มฟื้นตัว ในปี 2546-2547 บ้านก็มีหลักประกัน โอกาสจะรีเซลยังสามารถทำได้ หลักทรัพย์ที่รีเซลแล้วก็มีคนรับซื้อ

ปีนี้ซึ่งมีวิกฤตเศรษฐกิจถาโถมอย่างต่อเนื่อง สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรก็อยากเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนซอฟต์โลนวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 1.5% หรือครึ่งหนึ่งของดอกเบี้ยสามปีแรกของทุกธนาคาร โดยใช้กลไกแบงก์รัฐ และมีความหวังว่าเมื่อกลไกการแข่งขันสมบูรณ์มากขึ้น จะมีแบงก์เอกชนกระโดดเข้ามาในวง ร่วมกันปล่อยกู้ให้กับการซื้อบ้านหลังที่ 1-2 เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยได้มีบ้านเป็นของตนเอง จะทำให้มีการระบายของเก่า มีการจ้างงาน และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้

รวมทั้งปัญหายอดกู้ไม่ผ่านสูงมาก สมาคมเสนอให้ผู้พิจารณาสินเชื่อช่วยนำโอที ผู้ค้าอิสระที่ขายของออนไลน์ ขายของพิเศษ ให้นำรายได้ไปใส่ในกรอบการพิจารณาสินเชื่อ เพราะทุกวันนี้คนทำสองอาชีพ แม่บ้านทำงานเสร็จมีการไลฟ์ขายของออนไลน์ เราเห็นตัวอย่างกันเยอะแยะ แต่ตอนนี้เกณฑ์การพิจารณาความสามารถชำระหนี้ของผู้กู้ยัง Based on สลิปเงินเดือนอย่างเดียว มันคอนเซอร์เวทีฟเกินไป ซึ่งถ้าจะปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมา ก็ต้องยอมรับการเทกริสก์บ้าง ในระดับที่ไม่มากเกินไป

บ้านจัดสรรมีผลกระทบจาก LTV อย่างไร

ประเด็น LTV (มาตรการบังคับเงินดาวน์แพงในการขอสินเชื่อซื้อหลังที่ 2 เป็นต้นไป) แบงก์ชาติแตะเบรกเพราะกลัวความร้อนแรงของตลาดแนวสูง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนยุคโควิด สังเกตว่าแบงก์ชาติเคยผ่อนปรนในปี 2565 สิ่งที่เกิดขึ้น ตัวเลขดีขึ้นเลยทั้งระบบ พอเข้ามาในปี 2566 การผ่อนปรน LTV หมดอายุ เริ่มกลับมาบังคับใหม่อีกครั้งในปี 2567 ตลาดหัวทิ่มอีกแล้ว

เพราะฉะนั้น สรุปได้เลยไหมว่า LTV มีผลกับอสังหาฯมาก (เน้นเสียง) อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. หรือ REIC จากการสำรวจผู้สนใจซื้อบ้านในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 ในปี 2566 พบว่า ผู้จำเป็นต้องมีบ้านสองหลัง สองสัญญาเงินกู้ มีจำนวนเกือบ 30% ต้องบอกว่าเยอะอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลเพราะการซื้อบ้านเพิ่มโปรดักติวิตี้ได้ พ่อแม่อยู่ชานเมือง คุณอยู่ในเมือง แทนที่จะตื่นตีสี่ ขับรถมาทำงานในเมือง ลูกโตในรถ ทำงานก็ขาดประสิทธิภาพ คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี นั่นคือการมีบ้าน 2 หลัง เป็นพฤติกรรมผู้บริโภคโดยปกติไปแล้วในยุคนี้

โดยผู้จำเป็นต้องมีบ้าน 2 หลัง เพื่อใกล้โรงเรียนลูก ใกล้ที่ทำงาน มีบ้านอยู่ชานเมืองให้พ่อแม่อยู่อาศัย ซึ่งต้องย้ำตรงนี้ด้วยว่า การซื้อบ้านหลังที่ 2 ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไร แต่ซื้อเพราะความจำเป็นจริง ๆ สมาคมจึงอยากเสนอถึงแบงก์ชาติขอให้พิจารณาทบทวนยกเลิก LTV ชั่วคราว จนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว

แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ

ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขระยะสั้นก็มีและหาทางแก้ไข ควบคู่กับต้องเริ่มต้นวางรากฐานช่วงระยะกลางและระยะยาว คำว่าความยั่งยืนของธุรกิจอสังหาฯคือ ไม่ฉาบฉวยและไม่ล่มสลาย ผู้อยู่อาศัยควรได้บ้านมีคุณภาพ ในราคายุติธรรม และเป็นวงจรของการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่อยู่ได้ในระยะยาว ทั้งผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่

จุดยืนสมาคมบ้านจัดสรร อยากให้มีเวทีสำหรับรายเล็ก-กลาง-ใหญ่ เราสนับสนุนให้มีการแข่งขันเสรี อยากให้ความรู้ไปทั่วถึงผู้ประกอบการทุกระดับทุกขนาด รวมทั้งในภูมิภาคด้วย ในที่นี้ผมขอชื่นชมเครือสหพัฒน์ที่เขาทำติวข้อสอบเอนทรานซ์ ซึ่งข้อสอบมีชุดเดียว แต่ทำไมกรุงเทพฯได้ประโยชน์มากกว่า ก็เพราะอยู่ส่วนกลาง การเดินทาง การเข้าถึง โอกาสการศึกษาจึงสูงกว่า

เช่นเดียวกันเอสเอ็มอีในภูมิภาค จะเป็นกลไกสำคัญทำให้วงการที่อยู่อาศัยไทยมีความยั่งยืน หมายความว่าถ้ามีทุนใหญ่เข้ามา หรือจากต่างจังหวัดเข้ามา ถ้ามีความได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากันมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะอยู่รอดได้ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมีหน้าที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งเล็ก-กลาง-ใหญ่ อยู่รอดได้ด้วยกัน

สิ่งที่เราจะทำ เริ่มจาก 1.องค์ความรู้ในการทำอสังหาฯเท่ากัน จึงเป็นที่มาเรากำลังจะทำหลักสูตรวิชาการออนไลน์ แม้กระทั่งหลักสูตรวิธีบริหารจัดการโครงการจัดสรรออนไลน์ ซึ่งนายกต๊ะ (วสันต์ เคียงศิริ) ทำไว้ดี จะจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่มากขึ้น ธุรกิจจะเติบโตยั่งยืน ต้องเพิ่มประสิทธิภาพทั้งดีเวลอปเปอร์ต่างจังหวัด และทุกขนาดองค์กร

ถ้าบริษัทท้องถิ่นเก่งขึ้น บริษัทในกรุงเทพฯยิ่งต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่าง เล่นฟุตบอล ทำไมอยากให้เพื่อนเก่ง เพราะถ้าเพื่อนเก่ง เราจะกลายเป็นตัวสำรอง แต่อย่าลืมว่าถ้าเราเก่งคนเดียว อีกสิบคนไม่เก่ง ทีมจะยิงประตูได้ยังไง นั่นคือถ้าทีมเก่ง ทำไมอยากให้ทีมคนอื่นเก่งด้วย คำตอบ ถ้าไม่มีคู่แข่งที่เก่ง ทีมเราก็จะนิ่ง เจอคู่แข่งต่างชาติเข้ามา ทีมไทยแลนด์ก็จะไปไม่รอด จะเห็นว่าปัจจุบัน ภาคธุรกิจอสังหาฯพึ่งการเติบโตของเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวมทั้ง EEC ด้วย พึ่งมากเกินไป มีส่วนแบ่งตลาดถึง 80% แต่ถ้าเรามาช่วยกันทำให้ภูมิภาคเติบโตได้ ถ่ายทอดวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน จะทำให้อสังหาฯไทยเติบโตและแข่งขันได้

2.เป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพดีขึ้น ต้นทุนลดลง หรือสปีดลดลง คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนลดลง หรือสปีดลดลง การทำให้คุณภาพดีขึ้น จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ผลิต ทำอย่างไรให้อายุวัสดุการใช้งานยาวนาน เป็นประโยชน์กับสุขภาพผู้อยู่อาศัย รวมทั้งสมาคมจะร่วมมือกับดีไซเนอร์และผู้ผลิตด้วย เพื่อเข้าสู่เป้าหมายสุขภาพที่ดี ลดปัญหาโลกร้อน เพราะทำให้ผู้อาศัยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

ผมชวนคิดว่าถ้าความเป็นอยู่ในบ้านร้อน ถามว่าปี 2050 ที่สหประชาชาติมีเป้าหมาย Net Zero เราคุมอุณหภูมิร้อนไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น ภูเขาน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น 5 เมตร กรุงเทพฯจะอยู่ตรงไหน ฉะนั้นทุกคนจึงต้องมีส่วนช่วยรักษาอุณหภูมิโลกลดลง 1.5 องศาซี อย่าคิดว่าเรื่องไกลตัว เรื่องความเป็นอยู่ พฤติกรรมอาศัยของพวกเรานี่แหละ ช่วยชะลอได้ ทำให้ปัญหาโลกร้อนเย็นลงได้ เป็นมุมที่สมาคมบ้านจัดสรรต้องมีบทบาทคิดระยะกลาง-ยาวไว้รองรับด้วย

บทบาทเราจะร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ กับผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ เพราะรายเล็กไม่มีความสามารถในการลงทุนด้าน R&D เราผ่านยุคใช้วัสดุอิฐแดงมาเป็นอิฐมวลเบา คิดต่อได้ไหมให้รักษ์โลกมากกว่านี้ การใช้หลังคาโมเนีย โครงเหล็กหนักมากใช้เหล็กเกือบครึ่งตัน ตอนนี้ใช้เมทัลชีต เหล็กก็เบาขึ้น ทนพายุได้ แต่ก็ยังไม่พอ ต้องมีนวัตกรรมใกล้ Zero Energy Consumption

ถัดมาก็มีเรื่องกรีนคอนสตรักชั่น และเรื่องต้นทุนพัฒนาโครงการ ซึ่งเรามีดาต้าเบสดัชนีราคาค่าก่อสร้าง เงินเฟ้อด้านต้นทุนค่าก่อสร้างถือว่าไม่รุนแรง มีความเสี่ยงเรื่องค่าแรงเท่านั้น เพราะ 1.เวลาพูดต้นทุนโครงการ แบ่งเป็นค่าแรง 70% ค่าของ 30% ปัจจุบัน 75/25 พึ่งพาแรงงานน้อยลง พึ่งโรบอต โปรเซสมากขึ้น แต่ยังไม่พอ โจทย์คือจะใช้แรงงาน 25% ทำอย่างไรให้ต้นทุนนี้ลดลง เพราะต้นทุนแปรผันแรงงานเยอะ เวลาขาดแคลนแรงงาน มีต้นทุนนำเข้า และค่าจ่ายใช้นอกระบบอีกมากมาย จะทำยังไงให้พัฒนากระบวนการ ไม่ต้องพึ่งพิงกระบวนการใช้แรงงาน หรือใช้ให้น้อยที่สุด

ข้อแนะนำผู้ประกอบการและผู้บริโภคอสังหาฯ

ตอนนี้เรื่องใหญ่ที่สุดคือเรื่องหนี้สิน ต้องเคลียร์ภาระการเงิน เคลียร์หนี้สินเพื่อเดินหน้า เพื่อเริ่มต้นใหม่ ผมย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับดีเวลอปเปอร์เราเห็นยอดขาย เห็นตัวเลขครึ่งปีแรกที่ส่งสัญญาณว่า ตลาดย่ำแย่กว่าที่คาดคิดไว้มาก ผู้ประกอบการจำเป็นต้องตัดสินใจเคลียร์สต๊อก แม้จะไม่มีกรอสมาร์จิ้น หรือเน็ตมาร์จิ้นเหลือเลยก็ตาม หรือแม้แต่ขายขาดทุนเพื่อให้มีกระแสเงินสดเข้ามา ก็ต้องทำ

ส่วนผู้บริโภคอสังหาฯ คำแนะนำขอให้เคลียร์หนี้สินเก่า หรือเคลียร์ภาระหนี้ให้มากที่สุด หลักการคล้าย ๆ กันในยุคอย่างนี้ ยุคโครงสร้างวิกฤตเศรษฐกิจ ซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ

อ่านข่าวต้นฉบับ: นายกบ้านจัดสรรแกะปมวิกฤต จากซื้อบ้านไม่ได้บ้าน สู่ยุคซื้อบ้านไม่ได้สินเชื่อ

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1622101/feed 0
แอสเซทไวส์+อินฟินิท บุกคอนโดนครปฐม https://www.prachachat.net/property/news-1619176 https://www.prachachat.net/property/news-1619176#respond Thu, 01 Aug 2024 09:33:18 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1619176 เรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นได้ทุกวัน ช่วงต้นไตรมาส 3/67 ค่ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: แอสเซทไวส์+อินฟินิท บุกคอนโดนครปฐม

]]>
เรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นได้ทุกวัน

ช่วงต้นไตรมาส 3/67 ค่าย ASW-แอสเซทไวส์ เจ้าตลาดแคมปัสคอนโดมิเนียม ประกาศดีลพันธมิตรธุรกิจลุยทำเลใหม่ โดยร่วมกับ “อินฟินิท เรียลเอสเตท” พัฒนาคอนโดฯ ใหม่ทำเลสวยจัดอยู่ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัล มูลค่าโครงการ 1,160 ล้านบาท

นำโดย “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ระบุว่า ASW เปิดความร่วมมือโครงการร่วมทุนกับ บริษัท อินฟินิท เรียลเอสเตท จำกัด พัฒนาโครงการเคฟ เจเนซิส นครปฐม-Kave Genesis Nakhonpathom บนไพรมโลเกชั่นใจกลางนครปฐม ตรงข้ามเซ็นทรัล ใกล้มหาวิทยาลัยศิลปากร มูลค่าโครงการกว่า 1,160 ล้านบาท

ดีลธุรกิจนี้ ASW ถือหุ้น 65 % อินฟินิท เรียลเอสเตท ถือหุ้น 35% มีรายละเอียดออกแบบเป็นแคมปัสคอนโดฯ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร บนพื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 579 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 21-35 ตารางเมตร ทำเลติดถนนเพชรเกษม ตรงข้ามเซ็นทรัล นครปฐม ใกล้มหาวิทยาลัยศิลปากร เพียง 5 นาที และยังรายล้อมไปด้วยแหล่งใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์เดย์แอนด์ไนต์

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเคฟ เจเนซิส นครปฐม เน้นเจาะกลุ่ม Gen Z ในราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท

สำหรับแบรนด์ KAVE เป็นหนึ่งในเรือธงของแอสเซทไวส์ พัฒนาสะสมแล้ว 12 โครงการ ทำเลใกล้มหาวิทยาลัย ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ EEC ในส่วนของจังหวัดนครปฐม ASW ประสบความสำเร็จแบรนด์เคฟ 2 โครงการ ได้แก่ “เคฟ มิวแทนท์ ศาลายา- เคฟ ป๊อป ศาลายา”

ดังนั้น “เคฟ เจเนซิส นครปฐม” จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จ โดยเปิดขายเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา แน่นอนว่ามียอดขายและผลตอบรับที่น่าพอใจ

ในขณะที่อินฟินิท เรียลเอสเตท พกดีกรีความสำเร็จพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “แฮปปี้ คอนโด-แฮปปี้ โฮม-แฮปปี้ วิลล์” ที่สำคัญมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการส่งมอบความสุขที่สอดคล้องกันกับแอสเซทไวส์

โดย “นางสาวกรวิกา กอวรกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิท เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวเสริมว่า ความร่วมมือทั้ง 2 บริษัทในครั้งนี้ ได้สร้างปรากฏการณ์แบบใหม่ในนครปฐม ยกระดับการอยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าทุกคนให้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ จังหวัดนครปฐมที่มีศักยภาพสูง ทั้งภาคท่องเที่ยวและการลงทุน เปรียบเหมือนประตูการเดินทางสู่ภาคตะวันตก เชื่อมต่อไปยังหลายจังหวัด และเป็นเดสติเนชั่นรองรับแผนขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงจากกรุงเทพฯ มาถึงตัวเมืองนครปฐมในอนาคต

จุดเด่น เคฟ เจเนซิส นครปฐม แคมปัสคอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ทั้งการซื้ออยู่อาศัย และซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า โดยโครงการได้รับอนุมัติสินเชื่อพรีไฟแนนซ์เรียบร้อยแล้ว ตามแผนจะเริ่มก่อสร้างทันทีในไตรมาส 4/67 คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบให้ลูกค้าเพื่อรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1/69

อ่านข่าวต้นฉบับ: แอสเซทไวส์+อินฟินิท บุกคอนโดนครปฐม

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1619176/feed 0
ธนาสิริ Town Hall #2 แกร่งจากข้างใน พุ่งชนเป้า 2,000 ล้าน https://www.prachachat.net/property/news-1619170 https://www.prachachat.net/property/news-1619170#respond Thu, 01 Aug 2024 07:33:25 +0000 https://www.prachachat.net/?p=1619170 เดินทางมาถึงครึ่งปีแรก 2567 ดูเหมือนเป็นปีมีฤดูที่แตกต่ […]

อ่านข่าวต้นฉบับ: ธนาสิริ Town Hall #2 แกร่งจากข้างใน พุ่งชนเป้า 2,000 ล้าน

]]>
เดินทางมาถึงครึ่งปีแรก 2567 ดูเหมือนเป็นปีมีฤดูที่แตกต่าง ปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายครบทุกรสชาติความสุข

โดย ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) ร่วมกันผนึกพลังกับพนักงานทุกคนไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ด้วยกิจกรรม “Thanasiri Town Hall” จัดเป็นครั้งที่ 2 ของปีมังกร ปักหมุด ณ โครงการธนาพาร์ค พรีเว่ นครอินทร์-ปิ่นเกล้า ภายใต้แนวคิด “ทะลุขีดจำกัด…ทะยานสู่เป้าหมาย 2,000 ล้าน”

กิจกรรมที่มุ่งเน้นการสื่อสารผลการดำเนินงาน เป้าหมาย และทิศทางขององค์กร ให้พนักงานได้เข้าใจ และซึมซับคุณค่าผลิตภัณฑ์ บริการ ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ร่วมเรียนรู้กลยุทธ์ และมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดของบริษัทไปด้วยกัน

เริ่มอุ่นเครื่องกันด้วยการแนะนำพนักงานให้รู้จักแบรนด์น้องใหม่ในเครือ “ธนาพาร์ค พรีเว่” หนึ่งในแบรนด์สำคัญที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยคนทุกเจนที่มีไลฟ์สไตล์สังคมส่วนตัวสูง

ตามต่อด้วยคิวผู้บริหาร C Level ประกอบด้วย CEO-COO-CFO สื่อสารวิสัยทัศน์ และฉายภาพเส้นทางแห่งความสำเร็จที่ขับเคลื่อนโดยชนเผ่าธนา (THANA Tribe)

เปิดเวทีด้วย CEO “สุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CEO) โชว์วิสัยทัศน์โจทย์ท้าทายความแข็งแกร่งของธนาสิริต้องชนะด้วยการสร้างความแตกต่าง เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

บ่มเพาะความน่าเชื่อถือ (Trustworthy) เพราะความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้า “ลูกค้าได้ เราถึงจะได้” หัวใจสำคัญสู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ลดลง

ขณะที่อีกฟากฝั่ง ธนาสิริ กรุ๊ป ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ พนักงาน เพิ่มพลังความสำเร็จด้วยการส่งสัญญาณให้พนักงานทุกคนพร้อมปรับตัว (Resilience) และริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ (Initiative) อยู่เสมอ

ถัดมา COO “จรัญ เกษร” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ สื่อสารให้ทีมงานพัฒนาตนเอง คิดแตกต่างในท่วงทำนองของ “คนเจเนอเรชั่น เอ๊ะ!” และนำไปสู่การหาทางออกในการลงมือทำ (Eureka) โดยเรียกกลยุทธ์นี้ว่า “เอ๊ะ!! 2Eureka” มาใช้ผลักดันไอเดีย
ใหม่ แล้ววิเคราะห์ตีความ

เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับองค์กร และขับเคลื่อนให้ทุกคนมุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อเอาชนะความท้าทาย อุปสรรคต่าง ๆ สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ (Put the Man to The Moon) และร่วมกันเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (Make Impossible Possible)

และ CFO “ธนิศร นิติสาโรภาส” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานด้านการเงิน ย้ำกลยุทธ์ทางการเงินที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงาน มองหาโอกาส หาช่องทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท (Breaking the limit!)

กิจกรรมธนาสิริ ทาวน์ฮอลล์ #2 มีการมอบรางวัลคนดี คนเก่ง TRIBE Award จบลงที่การมอบทุนการศึกษาบุตรพนักงานรวม 54 ทุน มูลค่ารวม 136,000 บาท

หนึ่งในไฮไลต์อยู่ที่การเพิ่มอุณหภูมิความสุขให้กับพนักงานทุกคน เพราะตระหนักดีว่าความแข็งแกร่งต้องแกร่งมาจากข้างใน เพื่อปั้นชนเผ่าธนา (THANA Tribe) ให้ทุกคนพร้อมส่งต่ออุณหภูมิความสุขถึงลูกบ้านทุกคน ตามสโลแกน “ธนาสิริ…เราดูแล”

อ่านข่าวต้นฉบับ: ธนาสิริ Town Hall #2 แกร่งจากข้างใน พุ่งชนเป้า 2,000 ล้าน

]]>
https://www.prachachat.net/property/news-1619170/feed 0