Living Estate

Living Estate รับทำ Feasibility โครงการอสังหาฯ ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ บ้านจัดสรร คอนโด โรงแรม รีสอร์ท ที่ดินเปล่า

Living Estate

วิเคราะห์อสังหาริมทรัพย์และการตลาดเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ วิเคราะห์การตลาด การเงิน พิจารณาทำเลที่ตั้ง กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ต้นทุนและผลตอบแทน

Living Estate

Real Estate Feasibility Study โดยคำนึงถึง การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง วิเคราะห์ตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ต้นทุน และความเสี่ยง เพื่อพัฒนาโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

กระเบื้องยาง

กระเบื้องยาง คืออะไร


 
          กระเบื้องยาง ทำขึ้นจากวัสดุที่เรียกว่า โพลิเมอร์ ทำให้พื้นผิวมีความทนทาน เเข็งแรง และมีความยืดหยุ่น สามารถรับน้ำหนัก และทนแรงกดทับได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันจึงมักพบว่าโครงการอสังหาฯ หลายโครงการมีการนำกระเบื้องยาง ลายไม้ มาใช้ปูพื้นผิว ก็เนื่องด้วยลักษณะพิเศษ ทั้งลวดลายไม้ที่เด่นชัด และ ความสวยงามมันเงาให้อารมณ์ที่สื่อถึงการพักผ่อน





  ข้อดีข้อเสียของกระเบื้องยาง

ข้อดี

1.การติดตั้งไม่ยุ่งยาก สามารถปูทับพื้นเดิมที่มีอยู่ได้เลย ในกรณีที่บ้านมีพื้นกระเบื้องอยู่แล้วก็สามารถปูทับลงไปได้ไม่ต้องรื้อกระเบื้องเก่าออก

2.มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน นอกจากกระเบื้องยางจะใช้ปูพื้นแล้ว ปัจจุบันยังมีผู้คนนิยมนำไปตกแต่งผนัง หรือ ฝ้าเพดานด้วย เนื่องจากกระเบื้องยางมีความสวยงาม ให้ลวดลายได้หลากหลาย และคงทน    จึงมีการนำไปใช้งานได้หลากหลาย

3.กระเบื้องยาง มีอายุการใช้งานนานประมาณ 10-15 ปี นับได้ว่ายาวนานพอสมควร แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และ ผิวชั้นฟิล์มที่หุ้มกระเบื้องด้วย

4.มีความทนทานแข็งแรง สามารถรับแรงกด และรับน้ำหนักได้มาก นอกจากนี้ยังทนน้ำทนไฟได้ในระดับหนึ่งด้วย 

5.กระเบื้องยางมีราคาไม่แพง สามารถหาซื้อได้ง่าย ติดตั้งและซ่อมแซมได้ง่าย





ข้อเสีย

1.กระเบื้องยางไม่ทนต่อรอยขีดข่วน สามารถเกิดรอยถลอกได้ง่าย

2,กระเบื้องยางมีการหดตัว ทำให้พื้นไม้แยกออกจากกันและเกิดร่องขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการติดตั้งควรได้มาตรฐานด้วย








วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ความแตกต่างระหว่างทาวน์โฮมและทาวน์เฮ้าส์

ทาวน์โฮมและทาวน์เฮ้าส์ ต่างกันอย่างไร ?

             โฮมและทาวน์เฮ้าส์มีลักษณะคล้ายกัน บางคนเรียกทาวน์โฮม แต่ก็มีคนบางคนเรียกทาวน์เฮ้าส์ 
แอดมินได้ลองวิเคราะห์ดูและหาความแตกต่างของทั้งสองแบบพบว่า เส้นแบ่งระหว่างโฮมและทาวน์เฮ้าส์มีหลักๆดังนี้





        ทาวน์โฮม VS ทาวน์เฮ้าส์

1. ทาวน์โฮมส์ มักอยู่ในทำเลที่ดีกว่า เช่นใกล้ตัวเมือง หรือ ใจกลางเมือง

2. ทาวน์โฮมส์ มีราคาสูงกว่า ดูหรูกว่า และ ใช้วัสดุที่ดีกว่าทาวน์เฮ้าส์

3. ทาวน์โฮมส์ ส่วนใหญ่มักสูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป ส่วนทาวน์เฮ้าส์มี 1-2 ชั้น

4. ทาวน์โฮมส์ มีการแบ่งฟังก์ชั่นต่างๆเป็นสัดส่วนมากกว่าทาวน์เฮ้าส์

5. ทาวน์โฮมส์ ให้ความรู้สกเหมือนอยู่บ้านากกว่าทาวน์เฮ้าส์

      

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สร้างบ้านราคาถูกด้วยอิฐบล๊อคนาโน (Nano Block)

อิฐบล๊อคนาโนคืออะไร


                       



                       

                    อิฐบล็อค นาโน (Nano Block) หรือ Thai Nano Eco Block เป็นนวัตกรรมการก่อสร้างใหม่ของไทย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การก่อสร้างบ้านในยุคปัจจุบัน ที่มีค่าวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แรงงานหายาก มีราคาแพง และฝีมือต่ำ ไม่ประหยัดพลังงาน ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่แข็งแรงทนทาน และไม่สามารถรับมือกับภัยพิบัติต่างๆได้ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ ความร้อน ความหนาว เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติเหล่านี้ส่งผลให้บ้านเรือนพังทลาย ประชนไร้ที่อยู่อาศัยตามมา ดังนั้นอิฐบล็อค นาโน (Nano Block) นวัตกรรมการก่อสร้างใหม่ของไทย จึงได้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวโดยเฉพาะ 









                        ทำไมอิฐบล็อค นาโน (Nano Block) ถึงดีกว่า การก่อสร้างแบบเดิมๆ


1) ประหยัด

- ระบบการก่อสร้างแบบผนังรับแรง ทำให้ถ่ายน้ำหนักตลอดความยาวผนัง แทนการถ่ายน้ำหนักที่ต้องวิ่งลงเสา ฐานรากเป็นจุดๆ

- ทำให้มีน้ำหนักมากเกินกว่าดินรับได้ จึงต้องใช้เสาเข็มช่วย การถ่ายน้ำหนักตลอดแนวผนัง ทำให้น้ำหนักที่ถ่ายลงดินเหลือน้อยมาก

- ทำให้ไม่มีแรงเค้นที่ดินฐานราก ทำให้ไม่ต้องตอกเสาเข็มให้เสีย เวลา และ เปลืองเงิน โดยใช่เหตุอีกต่อไป

- ผนังรับแรงแบบนี้ทำให้ ไม่ต้องเสียเวลา และเงินในการทำ เสา คานคอดิน คานเอ็น เสาเอ็น ให้เสียเงิน เสียเวลาอีกเช่นกัน

-ในกรณีต้องการยกระดับพื้นชั้นล่างให้สูงจากระดับดินเดิม 1.00 เมตร ก็เพียงการกรอกคอนกรีตลงในอิฐบล็อค นาโน แล้วถมดินภายในอาคารได้เลย

-ใช้ปูนกาวก่อโดยการจุ่มแล้ววาง แทนการก่อด้วยปูนก่อ (Mortar) ทำให้ก่อผนังได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก และแข็งแรงกว่ามาก

-อิฐบล็อค นาโน มีลายผิวที่สวยงามแปลกตา ไม่ต้องฉาบปูนก็ได้ น้ำไม่ซึมเข้า ประหยัดเงินได้อีก

- อิฐบล็อค มีรูกลวงภายใน ทำให้เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อีก โดยกรอกทรายหยาบ หรือ วัดสุอื่นๆ เพื่อให้ต้านทานความร้อนความเย็นได้มากขึ้น ซึ่งมีราคาประหยัด

- อิฐบล็อค นาโน สามารถหล่อผลิตได้ในท้องถิ่น หรือ สถานที่ก่อสร้าง ทำให้ใช้วัสดุท้องถิ่นไม่ต้องเสียค่าขนส่งไกลๆ และใช้แรงงานภายในชุมชนได้ ทำให้ประหยัดกว่า


- การก่อสร้างเป็นระบบโมดูลล่าร์ เพราะระยะอาคารจะลงด้วยระยะ 20 ซม. ทำให้ปูกระเบื้องพื้นไม่เสียเศษ ทำให้ประหยัดกว่า







2) แข็งแรง

-อิฐบล็อค นาโน หล่อด้วยคอนกรีตแบบเปียก ทำให้มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมศาสตร์ได้ดีกว่าแบบแห้ง หรือ วัสดุอื่นๆ ทำให้นำมาสร้าง เป็นผนังรับแรงได้ (Wall Bearing) ทำให้ลดเวลาและค่าใช้จ่าย การก่อสร้างเสา คาน เสาเอ็น คานเอ็นลง

-สามารถเพิ่มความแข็งแรงโครงสร้างให้รับแรงได้ โดยการเสริมเหล็กและเทคอนกรีตลงในรูปกลวงอิฐบล็อค ก็จะได้อาคารคอนกรีต เสริมเหล็กทั้งหลังราคาประหยัด


-บล็อคมีเดือยด้านบนและล่าง ทำให้ผนังสามารถรับแรงด้านข้างได้ดีกว่าผนังที่ก่อด้วยวัสดุอื่นๆ


3)รวดเร็ว

-ระบบการก่อสร้างแบบผนังรับแรง ทำให้ไม่ตอกเสาเข็ม เสา คานคอดิน เสาเอ็น คานเอ็น ทำให้การก่อสร้างลดลงได้ถึง 50 %

-อิฐมีเดือยด้านบนด้านล่าง และ ใช้ปูนกาว ทำให้ก่อผนังได้รวดเร็ว ได้ดิ่งฉากได้ง่ายกว่า

-ไม่ต้องใช้ช่างปูน หายาก ราคาแพง เจ้าของบ้านทำเองก็ได้ เพียงจับวางเท่านั้น

-ผิวผนังมีลายที่สวยงาม ทำให้ไม่จำเป็นต้องฉาบปูน หรือ ทาสีก็ได้ น้ำไม่รั่วซึม

-สามารถฝังท่อไฟฟ้า ท่อประปาได้ ไม่เสียเวลาสกัดผนังแบบเดิม






4)สวยงาม

-อิฐบล็อค นาโน เป็นคอนกรีตรับแรง ทำให้ปูนฉาบบริเวณผนังไม่แตกตรงมุมประตูหน้าต่าง ทำให้แลดูสวยงามกว่า

-เป็นผนังรับแรง ทำให้ไม่มีเสาให้ดูเกะกะรกหูรกตา เหมือนเดิม ทำให้ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย สวยงาม

-ผิว โดดเด่น สวยงาม แปลกตากว่า ทำให้ไม่ต้องฉาบปูนทับก็ได้ น้ำไม่รั่วซึม

-สามารถผสมสีลงในคอนกรีตได้กว่า 36 สี ทำให้ไม่ต้องฉาบปูน ไม่ต้องห่วงเรื่องสีลอก หรือเก่า ภายหลัง

-สามารถผสมหิน หรือ ทรายเรืองแสง ทำให้กลางคืนมีแสงสว่าง เป็นจุดเด่นและ สวยงามแปลกตา


5)เศรษฐกิจที่ดีกว่า

-เจ้าของบ้านสามารถสร้างบ้านได้เอง (เกือบทั้งหมด) ลดการจ้างแรงงานหรือช่างฝีมือลง ไม่ต้องเป็นหนี้มาก

-สามารถผลิตได้เองในท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจชุมชนหมุนเวียนดีขึ้นกว่าซื้อวัสดุหรือแรงงานจากส่วนกลาง

- ลดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่ส่วนกลาง ทำให้มีส่วนในการลดปัญหาสังคมได้อีกทาง


6) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า

-สามารถเลือกใช้เศษวัสดุเหลือใช้ (Recycle) มาเป็นวัสดุผสม ทำให้ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ดี

-อากาศภายในบ้านเย็นสบาย ทำให้ลดใช้ไฟฟ้า ลดความจำเป็นในการสร้างเขื่อน หรือ การทำเหมืองแร่ ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์มาก

-ลดการขนส่งวัสดุระยะไกลๆ ลดการใช้น้ำมันรถยนต์ขนส่งลงได้มาก






ข้อจำกัดของอิฐบล็อกนาโน


1.เหมาะกับการสรา้งบ้านไม่เกิน 2 ชั้น

2.เนื่องจากเป็นผนังรับแรง ทำให้ไม่สามารถเจาะผนังได้

3.ผนังจะหนา 20 cm. ทำให้บ้านดูหนาเทอะทะ และเสียพื้นที่ใช้สอยบางส่วน



ที่มา :

http://www.thainanohouse.com 

http://community.akanek.com/th/interview/nano-block-building-thainano.



วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หลังคาประเภทต่างๆ

หลังคารูปแบบต่างๆ




1.หลังคาแบน (FLAT SLAB) 



                     มีลักษณะแบนราบคล้ายกับเป็นพื้นจึงมักถูกใช้เป็นพื้นดาดฟ้า แต่เนื่องจากรับความร้อนมากและกันแดดกันฝนไม่ค่อยได้ จึงไม่ใคร่เหมาะกับบ้านเราสักเท่าไร แต่ที่เห็นนำมาใช้กันได้ก็เห็นจะเป็นอาคารตึกแถวหรืออาคารพานิชย์สูงหลายชั้น และอาคารที่ไม่เน้นความสวยงามของรูปทรงหลังคา การก่อสร้างหลังคาประเภทนี้คล้ายๆกับการก่อสร้างพื้น แต่มีข้อควรทำคือควรจะผสมน้ำยากันซึมหรือควรมีวัสดุกันซึมปูทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้บนพื้นที่หลังคาประเภทนี้ขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้ 


2.หลังคาเพิงหมาแหงน (LEAN TO)



                   เป็นหลังคาที่ยกให้อีกด้านสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้ เหมาะสมสำหรับบ้านขนาดเล็ก เนื่องจากก่อสร้างง่าย รวดเร็ว ราคาประหยัด แต่แฟนคนรักบ้านต้องระวังควรให้หลังคามีองศาความลาดเอียงมากพอ ที่จะระบายน้ำฝนออกได้ทันไม่ไหลย้อนซึมกลับเข้ามาได้ โดยอาจพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น ความชันจากขนาดของหลังคา วัสดุมุงหลังคา และระยะซ้อนของหลังคา เป็นต้น ในกรณีที่มีโอกาสหรือความเสี่ยงที่น้ำฝนจะไหลย้อนซึมเข้ามาได้ ก็ควรใช้ความลาดชันมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้รวดเร็วขึ้น 


3.หลังคาแบบผีเสื้อ (BUTTERFLY) 



                   หลังคาชนิดนี้ประกอบด้วยหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังหันด้านที่ต่ำกว่ามาชนกัน ไม่ค่อยเหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกชุกแบบเมืองไทยสักเท่าไร เนื่องจากต้องมีรางน้ำที่รองรับน้ำฝนจากหลังคาทั้ง 2 ด้าน ทำให้รางน้ำมีโอกาศรั่วซึมได้สูง จึงไม่เป็นที่นิยมสร้างกันมากนัก ยกเว้นอาคารที่ต้องการลักษณะเฉพาะพิเศษที่แปลกตาออกไป 

4.หลังคาทรงหน้าจั่ว (GABLE ROOF)


                     เป็นหลังคาที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยเรา มีลักษณะเป็นหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังมาชนกัน มีสันสูงตรงกลาง เป็นหลังคาที่มีความสะดวกในการก่อสร้าง สามารถกันแดดกันฝนได้ดี และสามารถระบายความร้อนใต้หลังคาได้ดีอีกด้วย 


5.หลังคาทรงปั้นหยา (HIP ROOF)



                   เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝนได้ดีทุกๆด้าน มีความโอ่อ่าสง่างาม แต่หลังคาชนิดนี้มีราคาแพง เนื่องจากเปลืองวัสดุมากกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ ตลอดจนต้องใช้ช่างที่มีฝีมือพอสมควรในการก่อสร้าง เพราะมีรายละเอียดเยอะกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ 
6.หลังคาแบบร่วมสมัย (MODERN & CONTEMPORARY) 



                เป็นหลังคาที่มีรูปทรงทันสมัย แตกต่างจาก 5 แบบข้างต้น และใช้วัสดุที่ทันสมัย ก่อให้เกิดรูปทรงแปลกตา แต่ต้องระวังเรื่องความร้อนและการรั่วซึม 



วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การเลือกที่ดินสำหรับปลูกบ้าน

การเลือกที่ดินสำหรับปลูกบ้าน


1. การเข้าถึงที่ดิน

ควรมีถนนหรือซอยทางเข้ากว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร จนถึงหน้าที่ดินของท่าน เพราะความกว้างของถนนหรือซอยที่กล่าวถึง รถบรรทุกสามารถวิ่งสวนทางกันได้ ถ้าได้ถนนหรือซอยที่กว้างกว่า 6 เมตร จะยิ่งเป็นผลดีต่อการเข้าถึงที่ดิน เพราะความเจริญจะขยายตัวได้ง่ายบนถนนที่กว้าง อีกทั้งราคาขายต่อยังคงสูงขึ้นได้ง่ายกว่าอีกด้วย

ถนนหรือซอยหน้าที่ดินนี้ ควรจะเชื่อมกับถนนสายรองหรือถนนสายหลักที่กว้างมากกว่า และควรมีขนส่งมวลชนหลากหลายผ่าน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางของเจ้าของที่ดินเอง



2. แหล่งสถานที่สำคัญ

ในชีวิตประจำวันที่เราดำรงอยู่นั้น สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องพึ่งพาแหล่งสถานที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ คลินิก โรงพยาบาล โรงเรียน ศาสนสถาน ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง และที่ทำการของเขต-เทศบาล หากมีสถานที่สำคัญเหล่านี้อยู่ในบริเวณโดยรอบจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี


3. สภาพแวดล้อม

แน่นอนที่สุดที่เราคงไม่อยากมีบ้านอยู่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรมต่างๆ จนเกินไป จากมลภาวะที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เสียง ฝุ่น อากาศ กลิ่น นอกจากนี้เราคงไม่อยากอยู่ใกล้แหล่งเสื่อมโทรม คลองระบายน้ำเสีย เหล่านี้เป็นต้น ในเรื่องของความปลอดภัยเราควรสังเกตจากบริเวณข้างเคียงว่าสถานีตำรวจและสถานีดับเพลิงห่างไกล หรือ เข้าถึงที่ดินของเราได้โดยสะดวกหรือไม่ หากเกิดเหตุการณ์อันตรายใดๆ



4.ทิศที่ตั้ง

ประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะแดดจากดวงอาทิตย์ ถ้าหลีกเลี่ยงหน้าบ้านหรือหน้าที่ดินที่หันไปทางทิศตะวันตกได้จะเป็นการดีที่สุด เพราะหน้าบ้านของท่านจะโดนแดดส่องเข้าตั้งแต่บ่ายจรดเย็นเลย ทำให้บ้านร้อนตลอดบ่าย พอเรากลับเข้าบ้านตอนเย็น บรรยากาศภายในบ้านจะค่อนข้างอึดอัดและรู้สึกไม่สบายตัว

เรื่องลมเย็นที่มาพร้อมกับฝนในฤดูฝนนั้น จะมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ เราต้องออกแบบบ้านให้มีกันสาดกันฝนยื่นเพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการรั่วซึมบริเวณกรอบบานประตูและหน้าต่าง ส่วนกันสาดที่ป้องกันแสงแดดในด้านทิศเหนือ-ใต้ ควรเป็นกันสาดแนวราบ และในด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ควรเป็นกันสาดแนวตั้ง




5.ขนาดที่ดิน

ผู้อ่านหลายท่านยังไม่แน่ใจว่า ควรจะซื้อที่ดินขนาดเท่าไหร่ดีที่เหมาะสมกับขนาดบ้านของท่าน โดยท่านต้องทราบก่อนว่าตั้งใจจะปลูกบ้าน 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น

กรณีปลูกบ้าน 2 ชั้น ผนังชั้น 2 ทั้ง 4 ด้านของบ้านต้องมีหน้าต่างห่างจากที่ดินทุกด้านไม่น้อยกว่า 2.0 เมตร ดังนั้นหากท่านจะปลูกบ้านกว้าง 8.0 เมตร ลึก 12.0 เมตร เราควรซื้อที่ดินที่มีหน้ากว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร (ที่ว่างข้างซ้าย 2 เมตร + ตัวบ้าน 8 เมตร + ที่ว่างข้างขวา 2 เมตร) และความลึกของที่ดิน ควรลึกไม่น้อยกว่า 16 เมตร (ที่ว่างด้านหน้า 2 เมตร + ตัวบ้าน 12 เมตร + ที่ว่างข้างหลัง 2 เมตร)

กรณีปลูกบ้าน 3 ชั้น ผนังชั้น 3 ทั้ง 4 ด้านของบ้าน ต้องมีหน้าต่าง (หรือขอบนอกของระเบียงชั้น 3) ห่างจากที่ดินข้างเดียวทุกด้านไม่น้อยกว่า 3 เมตร โดยเอาระยะ 3 เมตร ของแต่ละข้างบวกเข้าไปกับตัวบ้านด้วยวิธีเดียวกันกับบ้าน 2 ชั้น กรณีปลูกบ้านขนาด 8 x 12 เมตร ดังนี้

ที่ว่างข้างซ้าย 3 เมตร + ตัวบ้าน 8 เมตร + ที่ว่างข้างขวา 3 เมตร = ที่ดินกว้างน้อยสุด 14 เมตร

ที่ว่างด้านหน้า 3 เมตร + ตัวบ้าน 12 เมตร + ที่ว่างด้านหลัง 3 เมตร = ที่ดินลึกน้อยที่สุด 18 เมตร

ทั้งนี้คิดเฉพาะที่ดินสำหรับตัวบ้านเท่านั้น ยังไม่ได้รวมถึงบริเวณที่ว่าง สวนไม้ ที่จอดรถ และปัจจัยอื่นเช่น ความกว้างถนนหน้าที่ดิน, ที่ดินติดคลอง







ที่มา : http://www.alive-house.com

                                                                                                                                                        https://faverhome.com/interior-decor/

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

ประเภทของเอกสารสิทธิ์ที่ดิน

หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดิน มี 4 แบบได้แก่

1.โฉนดที่ดิน หรือ น.ส.4

                        เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินสามารถใช้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินนั้น สามารถขายหรือโอน จำนอง ค้ำประกันทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มิฉะนั้นจะถือ เป็นโมฆะมีหลายแบบได้แก่ น.ส. 4 ก, น.ส. 4 ข, น.ส. 4 ค, น.ส. 4, น.ส. 4 ง และน.ส. 4 จ เป็นโฉนดที่ออกให้ในปัจจุบัน

2. ใบจอง หรือ น.ส.2

                        หนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราวเป็นหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินที่ทางราชการออกให้จะนำไปขาย โอนไม่ได้ จำนองไม่ได้ เว้นแต่การโอนทางมรดกตกทอดแก่ทายาทเท่านั้น

3. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือน.ส.3

                         หนังสือคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้วมีเพียงสิทธิ์ครอบครอง ไม่มีกรรมสิทธิ์ ไม่สามารถซื้อขายโอน จำนองได้ ได้แก่ น.ส.3 หลายคนมีปัญหาเรื่องรังวัดด้วยฝีมือคนโดยไม่ได้อ้างอิงแผนที่จากดาวเทียม ส่วนนส.3 ก จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการรังวัดใหม่ว่า ที่ดินเราจะเพิ่มหรือลดได้ทั้งนั้น 

4. ใบไต่สวน หรือ น.ส.5

                        หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดินและให้จดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรมในใบไต่สวนได้

ลักษณะของเอกสารสิทธิ์ที่ดิน

               ‪#‎ครุฑแดง‬ คือ "โฉนดที่ดิน (น.ส.4)" ซึ่งเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจนที่สุด ซื้อขายได้ โอนได้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็อย่างที่ ๆ เราส่วนใหญ่มีครอบครองกันก็เป็นอันนี้แหละครับ ที่ในเมืองเกือบทั้งหมดก็จะเป็น "ครุฑแดง" ครับแล้วใครเคยได้ยิน "โฉนดหลังแดง" ไหมครับ?  เหมือนหรือต่างจาก "ครุฑแดง" รึเปล่า คำตอบคือ "โฉนดหลังแดง" ก็คือเอกสาร น.ส.4  แต่...จะมีการระบุด้านหลังโฉนดว่า ห้ามโอน!! ภายในระยะเวลา 5-10 ปี
               ‪#‎ครุฑเขียว‬ คือ "หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประเภท น.ส.3 ก."ย้ำว่า น.ส.3 ก. ซึ่งออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ

               ‪#‎ครุฑดำ‬ คือ"หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประเภท น.ส.3 และ น.ส.3 ข."
จำง่าย ๆ ละกันว่า สองอันนี้ ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศครับ


                                                                                                        https://faverhome.com/interior-decor/

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

ปีใหม่แต่งบ้านใหม่ให้รับทรัพย์


ซื้อของแต่งบ้านรับทรัพย์ เงินไหลมาเทมารับปีใหม่

                เทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่มักจะทำความสะอาดหรือตกแต่งบ้านใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมรับสิ่งใหม่ๆที่จะมาถึงในปีต่อไป ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้ว ของแต่งบ้านยังเป็นอีก 1 สิ่งที่มีส่วนช่วยให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า เงินไหลมาเทมาจนเรียกได้ว่าเป็น “ไอเทมเสริมดวง” ให้ผู้ชื่นชอบการตกแต่งบ้าน โดยความต้องการของคนส่วนใหญ่มักมองหาไอเทมดึงดูดโชคทางการเงินเป็นอันดับแรก“


1. ตุ๊กตาหรือรูปปั้น “ไก่” ไม่ว่าจะทำมาจากวัสดุใดหากมีประดับไว้ในบ้านถือเป็นสิริมงคล เนื่องจากไก่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อ และรักครอบครัว ของตกแต่งบ้านรูปไก่จึงเป็นไอเทมเสริมดวงเรื่องการการงาน การค้าขาย และเรียกโชคลาภเงินทองได้เป็นอย่างดี



2. “ฮก ลก ซิ่ว” เทพเจ้า3 องค์ ที่มีความหมายถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย มียศศักดิ์ และสุขภาพแข็งแรง มาประดับบ้านเสริมโชคลาภด้านการเงิน โดยตำแหน่งที่ตั้ง ควรหันหน้าเข้าหาโต๊ะรับแขก และมีแสงสว่างส่องเพียงพอ ไม่ตั้งไว้ในที่อับ และห้ามหันหน้าเทพทั้ง 3 ออกหน้าต่างหรือประตูบ้าน



3. “ผลส้ม” ไม่ว่าจะเป็นผลไม้จริงหรือผลไม้ประดับนำมาใส่ตะกร้าวางไว้บนโต๊ะรับแขก หรือจะเป็นรูปภาพผลส้มก็ใช้ได้ โดยเปลือกของผลส้มควรเป็นสีเหลืองทอง สีแห่งความเป็นสิริมงคล ซึ่งการนำส้มมาตกแต่งบ้านเป็นการเสริมโชคลาภทางหนึ่ง


4.“รูปปั้นช้าง” ขนาดต่างๆ เนื่องจากช้างนั้นเป็นตัวแทนของโชคลาภ สติปัญญา และความมั่นคง จึงควรตั้งรูปปั้นช้างไว้ในห้องรับแขกโดยต้องคำนึงว่าไม่ควรหันหน้าออกนอกประตูเพราะจะทำให้ครอบครัวไม่สงบสุข



          นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับอีกหลายอย่างที่เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคและเสริมความอุดมสมบูรณ์ ที่ควรซื้อมาแต่งบ้าน ทั้งของแต่งบ้านรูปหมู พัด เครื่องปั่นดินเผา ธงชาติ ภาพปลาคู่ กระจกเงา และเรือสำเภานำพาโชคลาภเข้าสู่บ้าน


           นอกจากเครื่องประดับภายในบ้านแล้ว การปลูกต้นไม้-ดอกไม้ในบ้านยังมีส่วนช่วยเสริมดวงรับทรัพย์ด้วย โดยต้นไม้แนะนำชนิดแรกเป็นต้นไม้ยอดนิยมของคนไทย “ต้นมะม่วง” ต้นไม้ที่สามารถปลูกได้ง่าย ซึ่งมีความเชื่อว่า หากปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้านจะทำให้ผู้อยู่อาศัยร่ำรวยยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังควานอีกด้วย



5. “ต้นโป๊ยเซียน” ซึ่งมีความเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวสงบสุข นอกจากนี้โป๊ยเซียนยังเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านใดปลูกต้นโป๊ยเซียนและออกดอกได้ 8 ดอก เงินทองจะไหลมาเทมา ได้เลื่อนตำแหน่ง และนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เจ้าบ้าน




6.“ดาวเรือง” ดอกไม้ยอดนิยมที่คนไทยนิยมปลูกไว้บริเวณบ้าน ซึ่งการปลูกดาวเรืองจะช่วยเสริมบารมีให้มีความก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมาเหมือนกลีบดอกดาวเรืองที่มีสีเหลืองทองอร่าม และนอกจากจะเป็นดอกไม้ให้โชคแล้วยังนิยมใช้บูชาพระและเป็นดอกไม้สมุนไพรได้ด้วย



7.“ต้นนางกวัก” ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายใบโพธิ์ นอกจากจะมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่สามารถกวักเงินกวักทองแล้ว ยังกวักโชคลาภ ความดีความชอบ และสิ่งดีๆ เข้ามาในบ้าน“


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลีนิวส์